tag:blogger.com,1999:blog-38927060972130644892024-03-13T11:29:44.180-07:00ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรีห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.comBlogger62125tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-48415473209876413812012-01-23T23:22:00.000-08:002012-01-23T23:22:00.443-08:00กศน.อำเภอหนองม่วง เข้าร่วมโครงการผู้ว่าฯพบประชาชน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9IZhFqYPSzfn6cainAdenPpIEkM-E2JCYE7ZQvfECyd8M21ZXFXKfvDxZcdWOxFf2vI3lPSN1DoDbrNsP2TxOZOs3do1DRphfR2UuLMpdtccUgCPCYJaXayMarjkHnvpa0iBkvPhkoh0/s1600/19.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" nfa="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9IZhFqYPSzfn6cainAdenPpIEkM-E2JCYE7ZQvfECyd8M21ZXFXKfvDxZcdWOxFf2vI3lPSN1DoDbrNsP2TxOZOs3do1DRphfR2UuLMpdtccUgCPCYJaXayMarjkHnvpa0iBkvPhkoh0/s320/19.gif" width="320" /></a></div><br />
เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ กศน.อำเภอหนองม่วง นำโดย ผอ.สุรพล อ่ำจำปา ผอ.กศน.อำเภอหนองม่วง พร้อมด้วยคณะครู กศน.อำเภอหนองม่วง ได้เข้าร่วมโครงการ ผู้ว่าฯพบประชาชน (หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน) ณ วัดคีรีนาค ตำบลชอนสารเดช อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี โดยทาง กศน.อำเภอหนองม่วงได้นำกิจกรรมสอนอาชีพการทำขนมกระหรี่ฟั้พ การกัดลายกระจก บริการตัดผมฟรี ห้องสมุดเคลื่อนที่ และรถโมบายเคลื่อนที่ เพื่อออกให้บริการเยาวชนและประชาชน ทั่วไปห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-33128757960586854052012-01-23T23:16:00.000-08:002012-01-23T23:16:06.055-08:00ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วง จัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติภาพงานวันเด็ก<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHlBE9L8zWNDmuRWBGZI1SisJ_LY84Ov4RQqFzweY4lr8QzROOQixbPEuGZcz1za1gqnUTcxuS3gvy3byDZ8tGIQXAL8kU28tGOQFR-EpgSUDlwD07t3RT7MwEmXQfnkrs8olm05sy1t8/s1600/14.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" nfa="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHlBE9L8zWNDmuRWBGZI1SisJ_LY84Ov4RQqFzweY4lr8QzROOQixbPEuGZcz1za1gqnUTcxuS3gvy3byDZ8tGIQXAL8kU28tGOQFR-EpgSUDlwD07t3RT7MwEmXQfnkrs8olm05sy1t8/s400/14.gif" width="400" /></a></div> <br />
เมื่อวันเสาร์ ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ กศน.อำเภอหนองม่วง นำโดย ผอ.สุรพล อ่ำจำปา ผอ.กศน.อำเภอหนองม่วง พร้อมด้วยคณะครู กศน.อำเภอหนองม่วง ได้จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ ร่วมกับเทศบาลตำบลหนองม่วง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดกิจกรรมสันทนาการให้แก่เด็ก และเยาวชนในเขตอำเภอหนองม่วง และพื้นที่ใกล้เคียง โดยในงานได้มีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านนิทานแสนสนุก กิจกรรมวาดภาพระบายสี กิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัล บริการแจกไก่ทอด และไอศครีม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวจำนวน ๓๕๐ คนห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-10255697127762741832012-01-23T21:34:00.000-08:002012-01-23T21:34:27.551-08:008 เคล็ดลับ สวยสุขภาพดีไม่พึ่งหมอ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjb06slFbsODwKN-xhpzfT3KvpeAkBmwUnbErEVsjIPmyFwGI5IOC_dsFz3ZTRlDyo1bzXFg3g7hIf8SbKhh9FaqJigfVwp2aiHtQZXOwDymh6J7kBWNXxtrn4sbu2aQdNDAORpUwdH6U/s1600/125142.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="168" nfa="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjb06slFbsODwKN-xhpzfT3KvpeAkBmwUnbErEVsjIPmyFwGI5IOC_dsFz3ZTRlDyo1bzXFg3g7hIf8SbKhh9FaqJigfVwp2aiHtQZXOwDymh6J7kBWNXxtrn4sbu2aQdNDAORpUwdH6U/s320/125142.jpg" width="320" /></a></div> <br />
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาเรื่องผิวกับผู้หญิงนั้นเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่เริ่มมีอายุมากขึ้น ที่มักพบกับปัญหาผิวพรรณไม่สดใส รวมถึงมีผิวหย่อนคล้อย เนื่องจากในปัจจุบันผู้หญิงต้องทำงานหนักและมีภาระต้องดูแลครอบครัว จึงทำให้ไม่มีเวลาดูแลตนเอง จึงขอเผยให้ทราบถึงเคล็ดลับ 8 วิธีในการดูแลตนเองในแบบง่ายๆ ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อช่วยให้ผิวสวยๆ อยู่คู่กับคุณสาวๆ ไปได้นานๆ<br />
<br />
<br />
นพ.กฤษธิพร เพ็งสุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและสุขภาพความงาม กล่าวว่า สำหรับ เคล็ดลับข้อแรก นั้นคือเรื่องของ “อาหารการกิน” อย่างที่ทราบกันดีว่าความต้องการอาหารในแต่ละคนและแต่ละช่วงวัยนั้นมีความต้องการไม่เท่ากัน ดังนั้นคุณหมอแนะนำว่า ทางที่ดีควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ เช่น ผักหลากสีเพราะผักเหล่านี้อุดมไปด้วยสารแคโรทีนที่ดีต่อผิว ขณะเดียวกันก็ควรเช็คตัวเองด้วยว่าตนเองแพ้อาหารชนิดใดหรือไม่ เพราะในปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่จะแพ้อาหารประเภทนมหรือไข่และขนมปังจำนวนมาก และอาการแพ้นี้อาจสะสมและแสดงให้เห็นได้ทางผิวหนัง<br />
<br />
เคล็ดลับข้อที่ 2 คือ “การดื่มน้ำ” ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน เพราะผิวต้องการน้ำไปหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ พร้อมกันนี้คุณหมอกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ดื่มน้ำน้อยจะมีปัสสาวะสีเข้ม ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นการบอกให้ทราบว่าร่างกายต้องการน้ำ ส่วนผู้ที่ดื่มน้ำเพียงพอจะมีปัสสาวะสีจาง<br />
<br />
เคล็ดลับที่ 3 คือ “การพักผ่อน” ก็เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ไม่แพ้กัน เพราะการที่จะมีผิวดีนั้นควรให้ความสำคัญกับช่วงเวลานอน ซึ่งช่วงเวลานอนที่ดีที่สุดคือ 22.00-02.00 น. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินออกมามากที่สุด ทำให้ร่างกายเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และที่สำคัญคุณหมอแนะนำว่าควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน<br />
<br />
เคล็ดลับข้อที่ 4 คือ “การออกกำลังกาย” ซึ่งการออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำสม่ำเสมอ แต่หากมากหรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำว่า อย่างน้อยควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30-60 นาที พร้อมกันนี้คุณหมอกล่าวว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดนั้น คือการออกกำลังกายที่ใช้ออกซิเจน และต้องไม่หักโหมจนเกินไป แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง 30 นาทีขึ้นไปในแต่ละครั้ง เพื่อให้ผิวขับของเสียออกมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผิวสดใสขึ้น คุณหมอกล่าว<br />
<br />
เคล็ดลับข้อที่ 5 คือ “หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย” เช่น ความเครียด แสงแดด รวมถึงมลภาวะ เช่น ควันพิษ หรือยาที่รับประทานเข้าไปมากๆ จนเกิดเป็นของเสียที่ร่างกายต้องขับออกมา ซึ่งหากร่างกายต้องแบกรับอนุมูลอิสระเหล่านี้เกินขนาดจะส่งผลเสียต่อผิว ขณะเดียวกันยังเป็นสาเหตุของความชราอีกด้วย<br />
<br />
เคล็ดลับข้อที่ 6 คือ “เสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ” ด้วยการเลือกรับประทานผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มของเบอรี่ต่างๆ หรือจำพวกกลุ่มถั่ว และในปัจจุบันนั้นก็มีสารแอนติออกซิแดนต์ เช่น กลูต้าไธโอน, โคเอนไซม์คิวเทน เป็นต้น ซึ่งสารดังกล่าวนั้นสามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยของผิวได้<br />
<br />
เคล็ดลับข้อที่ 7 คือ “การล้างพิษ” เพื่อสร้างสมดุลช่วยให้ร่างกายสดชื่น และมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ซึ่งมีให้เลือกหลายวิธี เช่น การสวนลำไส้ และการรับประทานวิตามิน เป็นต้นห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-55297836173830185462012-01-23T21:07:00.000-08:002012-01-23T21:07:21.884-08:00เพิ่มความจำ "วัยทำงาน" <br />
<br />
มีสาวออฟฟิศเล่าปัญหาเข้ามาว่า ในแต่ละวันต้องใช้ความคิดในการทำงานค่อนข้างหนัก จะมีวิธีบำรุงสมองให้รู้สึกกระฉับกระเฉงได้อย่างไรบ้าง<br />
<br />
<br />
ความอ่อนล้าของสมอง หรืออาการที่เรียกว่า “เบลอ” มักพบบ่อยในหนุ่ม - สาวติดไฟวัยทำงาน ที่ต้องใช้ทั้งพลังสมอง และพลังกาย ตกเย็นกลับบ้านจึงรู้สึกเหนื่อยง่ายอยู่บ่อยๆ หากจะเลือกหาสิ่งดับกระหายคลายหิวแล้วล่ะก็ ไม่ควรมองข้าม “อาหาร” ใกล้ตัวต่อไปนี้ เพราะมีประโยชน์ต่อสมองสุดๆ<br />
<br />
<span style="color: #674ea7;">“ปลา”</span> โดยเฉพาะปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู จะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ DHA ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้ไวต่อการรับสัญญาณประสาท ทำให้สมองกระฉับกระเฉง มีสมาธิ<br />
<span style="color: #38761d;">“ผักใบเขียวเข้ม”</span> เช่น ผักคะน้า ผักโขม เป็นแหล่งของวิตามินอี และโฟเลต ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม อัตราการเปลี่ยนแปลงของความจำช้าลง<br />
<br />
<span style="color: #c27ba0;">“ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่”</span> เช่น สตรอเบอร์รี่, เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ มีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ระบบประสาท โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน<br />
<br />
<span style="color: #0b5394;">“เมล็ดธัญพืช”</span> อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี 1 ช่วยสร้างเซลล์ประสาทให้แข็งแรง ช่วยลดความบกพร่องในกระบวนการคิด<br />
อย่างไรก็ตาม นอกจากอาหารบำรุงสมองดังกล่าวข้างต้นที่ควรมีติดครัวไว้รับประทานประจำแล้ว ยังต้องมีวินัยในการบริโภค โดยทานให้ครบมื้อ ครบหมู่ และเลี่ยงอาหารไร้ประโยชน์ควบคู่ไปด้วย จึงจะเกิดประสิทธิภาพที่สุดห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-86186578734137166502011-12-05T19:20:00.000-08:002012-01-23T23:24:26.007-08:00 <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div> <span style="background-color: white;">อาเศียรวาทราชสดุดี</span><br />
<br />
น้ำแล้งดินแห้งแข็ง ทรงพลิกแผลงด้วยฝนหลวง<br />
ธ.เป็นดั่งดวงทรวง คอยห่วงหวงราษฏร์แผ่นดิน<br />
กราบก้มบังคมบาท ภูวนาทผู้ทรงศีล<br />
หมู่ชนล้วนยลยิน พระภูมินทร์เปี่ยมพระทัย<br />
ทศพิธราชธรรม ทรงน้อมนำเอามาใช้<br />
เมตตาประชาไทย ร้อนสิ่งใดทรงดับพลัน<br />
เยาวชนล้นปัญญา ชาวประชาล้วนสุขสันต์<br />
ประทานศึกษากัน ทวยราษฏร์นั้นล้วนยินดี<br />
ทรงโปรดแนวเกษตร แก้สาเหตุไม่สุขศรี<br />
ดินแข็งแล้งไม่ดี แนะวิธีฟื้นฟูดิน<br />
ทรงแนะปลูกหญ้าแฝก ให้รากแทรกชำแรกสิ้น<br />
รากนั้นไชลงดิน ยึดทรายหินกันทะลาย<br />
แนะนำราษฏร ทั้งฝึกสอนการค้าขาย<br />
ยึดหลักพอเพียงกาย ปันส่วนขายเหลือไว้กิน<br />
พระซึ้งซึ่งดนตรี จอมกวีมณีศิลป์<br />
แซ่ซ้องก้องแผ่นดิน ทั้งทั่วถิ่นในโลกา<br />
ถวายพระพรชัย แด่จอมไทยได้คู่ฟ้า<br />
ขอปวงเทพเทวา ร่วมศรัทธาถวายพรชัย<br />
มหามงคลกาล โปรดประทานบันดาลให้<br />
เศวตพระจอมไตร ราชาชัยทรงสำราญ<br />
ขอพรพระไตรรัตน์ ดลจรัสเกษมศานต์<br />
เศวตฉัตรชัชวาลย์ แผ่ไพศาลพระบารมี<br />
นิรทุกข์ไม่กรายกล้ำ เกษมธรรมพิพัฒน์ศรี<br />
พระชนม์กว่าร้อยปี พระภูมีสง่าไกล<br />
พระพละทรงแข็งแรง กายาแกร่งสุดสดใส<br />
ประสงค์จำนงใด สมพระหฤทัยสฤษดิ์เทอญฯ<br />
<br />
ฑีฆายุโกโหตุ มหาราชา <br />
<br />
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-19704146966621270322011-12-01T23:10:00.000-08:002011-12-01T23:13:39.794-08:00กศน.อำเภอหนองม่วง ต้อนรับคณะศึกษานิเทศจาก สำนักงาน กศน.จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2554 กศน.อำเภอหนองม่วง นำโดย ผอ.สุพล อ่ำจำปา ผอ.กศน.อำเภอหนองม่วง พร้อมด้วยคณะครู กศน.อำเภอนหนองม่วง ได้ต้อนรับ คณะศึกษานิเทศ จาก สำนักงาน กศน.จังหวัดลพบุรี โดยทางศึกษานิเทศมาเพื่อเตรียมความพร้อม ในการประเมินมาตรฐานการศึกษา ในครั้งต่อไป<br />
<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiev04vA_klC_95orqoglt1TBJvvAkrKbPz90UK6UiPJSn3RDw4-PUGjdHO9UKwRNbq28nKPS3DeMH0PTZ3yZtCnJkywF_4GUxVgTYI2oLmdKVzgrda-VCH2cyxnIdYsAvzQ-jYBlomq7E/s1600/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%252B2.JPG" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dda="true" height="196" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiev04vA_klC_95orqoglt1TBJvvAkrKbPz90UK6UiPJSn3RDw4-PUGjdHO9UKwRNbq28nKPS3DeMH0PTZ3yZtCnJkywF_4GUxVgTYI2oLmdKVzgrda-VCH2cyxnIdYsAvzQ-jYBlomq7E/s200/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%252B2.JPG" width="200" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXluT0WPptEzHyV4WmgMaa7rQURaeoXM7kRnxQVq_tfCBwQ8nQ4REoVLoOiDZpMK4vTwHfOYFfo_MggTzcxpOXXzCsQqjDSiieQMiVtdXlU9_kt3coJOsR3Q0dRvJt9_DHQAedPQQ3Lzo/s1600/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%252B1.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dda="true" height="196" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXluT0WPptEzHyV4WmgMaa7rQURaeoXM7kRnxQVq_tfCBwQ8nQ4REoVLoOiDZpMK4vTwHfOYFfo_MggTzcxpOXXzCsQqjDSiieQMiVtdXlU9_kt3coJOsR3Q0dRvJt9_DHQAedPQQ3Lzo/s200/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%252B1.JPG" width="200" /></a></div>ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-11344719746025330892011-12-01T22:47:00.000-08:002011-12-01T22:47:51.555-08:001 ธันวาคม วันเอดส์โลก<span style="background-color: #9fc5e8;">วันต้านเอดส์โลก วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม ของทุกปี</span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOkawcOuh4yrqjNyK6ACk1qlB8QluS4y37Nhiy-Xe4ChRKsyYPQ7AwmK3ILANdWOth5_Q0sdJ-WTDMD6WsrgPhIrfVrBKdZsXVqqF5Mk3HU_V3E1MSSYNWKSmZQ5w6y377Hizr8CtlPZw/s1600/300.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dda="true" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOkawcOuh4yrqjNyK6ACk1qlB8QluS4y37Nhiy-Xe4ChRKsyYPQ7AwmK3ILANdWOth5_Q0sdJ-WTDMD6WsrgPhIrfVrBKdZsXVqqF5Mk3HU_V3E1MSSYNWKSmZQ5w6y377Hizr8CtlPZw/s200/300.jpg" width="200" /></a></div><br />
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดเอา วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น“วันโลกต้านเอดส์” (WORLD AIDS DAY) และในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ถือว่า เป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก<br />
ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2532 ถือว่าเป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์หลายรูปแบบพร้อมกันทั่วโลก<br />
โดยตั้งความหวังไว้ว่า<br />
1.จะพยายามหยุดยั้งโรคเอดส์<br />
2.ให้ความเห็นใจ ห่วงใย ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์<br />
3.ให้ทุก ๆ คนได้รู้เรื่องโรคเอดส์<br />
จากการที่องค์การอนามัยโลก ได้ให้ความสำคัญของโรคเอดส์ดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีผลกระทบต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและต่อประเทศชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxeFHLtKlXIh28onCabNbPVqJR_fh3tDi6GUWLpw0mVN19Jv2IPLc_6WsZvt-rdU99XkfTPxTucXg3eJSYlsNb825SjVmufybf2UEPplQlIxgCx189rcN_xUSdKZHEsZdC8XVLgcuNYF4/s1600/World_Aids_Day_01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dda="true" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxeFHLtKlXIh28onCabNbPVqJR_fh3tDi6GUWLpw0mVN19Jv2IPLc_6WsZvt-rdU99XkfTPxTucXg3eJSYlsNb825SjVmufybf2UEPplQlIxgCx189rcN_xUSdKZHEsZdC8XVLgcuNYF4/s200/World_Aids_Day_01.jpg" width="194" /></a></div><a name='more'></a><br />
<span style="background-color: #c27ba0;">โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome) AIDS</span><br />
<br />
A = Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม<br />
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย<br />
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง ความเสื่อม<br />
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค ซึ่งมีอาการหลายลักษณะตามระบบต่าง ของร่างกาย<br />
<br />
โรคเอดส์ (AIDS) หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอชไอวี (HIV) ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้กันต่ำลงเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกไวรัสทำลายและเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาซ้ำเติมในภายหลัง (เรียกว่าโรคฉวยโอกาส) เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ<br />
<br />
<span style="color: #c27ba0;">เชื้อไวรัสเอดส์นี้มีหลายสายพันธุ์</span><br />
<br />
สายพันธุ์หลักดั้งเดิม ได้แก่ เอชไอวี-1 (HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา กลางสายพันธุ์เอชไอวี-2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก นอกจากนั้นยังมีสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ อีกมากมายตามเวลาที่ผ่านไป ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อไวรัสเอดส์นี้สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย<br />
<br />
อาการติดเชื้อเอดส์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้<br />
<br />
<span style="color: #6aa84f;">ระยะที่ 1</span><br />
<br />
กลุ่มผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัสเอดส์แต่ยังไม่ปรากฎอาการผิดปกติแต่อย่างใด บุคคลกลุ่มนี้จัดเป็นพาหะนำโรคซึ่งสามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้อย่างไม่จำกัดจำนวนนับว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ เพราะผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป็นเวลานาน หากไม่มีการตรวจพบเชื้อจะไม่มีทางทราบได้เลย ว่าบุคคลนี้มีเชื้อไวรัสเอดส์อยู่ในร่างกาย จนกว่าจะมีอาการป่วยปรากฎออกมาให้เห็น<br />
<br />
<span style="color: #e69138;">ระยะที่ 2</span><br />
<br />
เป็นอาการที่พบได้ก่อนที่จะปรากฎอาการป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS-Relate Complex) หรืออาจเรียกว่า กลุ่มอาการ ARC หมายถึง กลุ่มที่มีอาการ จะสังเกตได้จากอาการเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุในระยะนี้สามารถตรวจพบภูมิคุ้มกันในเลือดของผู้มีอาการนำ หรืออาจจะสังเกตลักษณะของอาการได้ดังนี้<br />
<br />
1.มีไข้สูงเกิน 37.8 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า 3 เดือน<br />
2.น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4.5 กิโลกรัม หรือมากว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเดิมภายใน 2 เดือน<br />
3.ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายหลายแห่งบวมโตนานกว่า 3 เดือน<br />
4.อุจจาระร่วงเรื้อรังนาน 1-3 เดือน<br />
5.เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีเหงื่อออกตอนกลางคืน และพบว่าร้อยละ 20 ของกลุ่ม ARC จะมีอาการลุกลามไปเป็นโรคเอดส์ในเวลาต่อมา<br />
6.แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งจะไม่มีเรี่ยวแรงและทำงานไม่ประสานกัน<br />
<br />
<span style="color: #93c47d;">ระยะที่ 3</span><br />
เป็นระยะที่กลุ่มผู้ป่วยจะปรากฎอาการของโรคเอดส์ซึ่งอาการในระยะนี้แบ่งตามอาการที่ปรากฏออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือการติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส และอาการของโรคมะเร็ง<br />
<br />
กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์ สามารถแยกออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้<br />
1.กลุ่มมีเพศสัมพันธ์ผิดธรรมชาติหรือสำส่อนทางเพศ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศชาย กลุ่มรักต่างเพศ<br />
2.กลุ่มผู้ติดยาเสพติด<br />
3.กลุ่มที่รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด<br />
4.กลุ่มที่ได้รับเลือดจากมารดาห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-42815506928081216772011-11-17T19:45:00.000-08:002011-11-17T19:48:23.471-08:00โครงการ “กศน.อำเภอหนองม่วง รวมใจช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม”<embed flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=https%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2F107392187644892389266%2Falbumid%2F5675844841367597745%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" height="400" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="https://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" type="application/x-shockwave-flash" width="400"></embed><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><strong><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Cordia New"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></strong><strong><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Cordia New"; font-size: 16pt; font-weight: normal;">กศน.อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี นำโดย ผอ.สุรพล อ่ำจำปา พร้อมด้วยคณะครู กศน.อำเภอหนองม่วง ได้จัดโครงการ </span></strong><strong><span style="color: black; font-family: "Cordia New"; font-size: 16pt; font-weight: normal;">“<span lang="TH">กศน.อำเภอหนองม่วง รวมใจช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม</span>” <span lang="TH">ณ ตำบลสี่คลอง อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี โดยได้ทำ ข้าวผัด และเฉาก๊วย เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยทั้งที่ได้พักพิงอยู่ ที่วัด และหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ในการนี้ กศน.อำเภอหนองม่วง ขอขอบคุณ ผอ.ธิติพนธ์ ระลอกแก้ว ผอ.กศน.อำเภอเมืองลพบุรี ที่ได้ประสานงาน ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ในการจัดทำโครงการในครั้งนี้</span></span></strong></div>ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-73314818333451233662011-11-06T20:34:00.000-08:002011-11-07T19:54:23.752-08:00โครงการ “กศน.อำเภอหนองม่วง รวมใจช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม”<embed flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=https%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2F107392187644892389266%2Falbumid%2F5672099646695703249%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" height="400" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="https://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" type="application/x-shockwave-flash" width="400"></embed> <br />
<br />
กศน.อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี นำโดย ผอ.สุรพล อ่ำจำปา พร้อมด้วยคณะครู กศน.อำเภอหนองม่วง ได้จัดโครงการ “กศน.อำเภอหนองม่วง รวมใจช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม” ณ ตำบลบางขาม อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยได้ทำ ข้าวผัด และก๋วยเตี๋ยว เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยทั้งที่ได้พักพิงอยู่ ที่วัด และหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียง ในการนี้ กศน.อำเภอหนองม่วง ขอขอบคุณ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม และ ครูกรองแก้ว สง่าทอง ที่ได้ประสานงาน ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ในการจัดทำโครงการในครั้งนี้ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-18532281426543929092011-10-29T02:47:00.000-07:002011-11-06T19:58:00.502-08:00มอง”น้ำ”เห็น”เมือง” เบื้องหลังน้ำท่วมใหญ่กทม.ปริญญา ตรีน้อยใส <br />
<br />
(ในอดีต เมื่อน้ำเหนือไหลบ่า น้ำทะเลหนุน คนกรุงต่างดีใจ แต่วันนี้”น้ำเหนือ”และ”น้ำทะเลหนุน”กลายเป็นความทุกข์ใหญ่ของคนเมืองกรุง ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนมี”ที่มา” <br />
“ปริญญา ตรีน้อยใส”ดัดแปลงบทความวิชาการที่เคยเสนอในการประชุมที่ต่างประเทศมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เขานำ”ประวัติศาสตร์”ของกรุงเทพมหานครมาเชื่อมโยงกับมุมมองด้านสถาปัตย์ ในฐานะคณบดีคณะสถาปัตยกรรม แล้วจะเข้าใจว่าทำไม”ความดีใจ”ในอดีต<br />
จึงกลายเป็น”ความทุกข์”ในปัจจุบัน..... )<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
ทันทีที่บ้านเราเข้าสู่ฤดูมรสุม น้ำฝนที่ตกลงมาบนผืนแผ่นดินไทย จะมีปริมาณ<br />
เกินกว่าพื้นดินบนดอยดูดซับไว้ จึงไหลหลากตามทางน้ำ เอ่อล้นท่วมหมู่บ้านในที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา ผ่านมาสู่ชุมชนสองฝั่งทางน้ำสายต่างๆ จนถึงที่ราบลุ่มในภูมิภาคต่างๆของประเทศ ก่อนไหลลงสู่อ่าวไทย<br />
สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล จังหวะที่น้ำเหนือหลากไหลบ่าตามแม่น้ำสายหลัก หากประจวบเหมาะกับปริมาณน้ำฝนตกลงในพื้นที่มาก และระดับน้ำทะเลขึ้นสูงน้ำเค็มจะไหลย้อนขึ้นมาสมทบ <br />
กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยที่อยู่ไม่ห่างจากปากแม่น้ำจะกลายสภาพเป็นเมืองบาดาลทันที ส่งผลให้การจราจรติดขัด ธุรกิจการค้าหยุดชะงัก และการอยู่อาศัยยากลำบาก <br />
“น้ำท่วม”จึงเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายต่อเนื่องตลอดมา<br />
งานวิจัยของทิวา ศุภจรรยา ที่อาศัยหลักฐานเมืองโบราณในสมัยทวาราวดี อย่างเช่น นครนายก อู่ตะเภา ลพบุรี สุพรรณบุรี อู่ทอง นครปฐม คูบัว เป็นต้น สรุปไว้ว่า แนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยนั้น เดิมอยู่ห่างจากแนวปัจจุบันขึ้นไปทางเหนือไกลถึง 140 กม.นั่นหมายความว่า พื้นที่ตั้งของกรุงเทพมหานครเคยอยู่ใต้น้ำมาก่อน<br />
น้ำหลากจะนำดินตะกอนที่อุดมสมบูรณ์จากป่าเขาภาคเหนือ มาทับถมเป็นเวลาหลายร้อยปี ระดับดินค่อยๆ สูงขึ้น กลายสภาพเป็นทะเลตม หรือที่ราบอันเกิดจากโคลนตะกอนที่สายน้ำพัดมา เมื่อรวมกับปริมาณน้ำฝนที่พอเหมาะ ก็จะเป็นพื้นที่เหมาะกับการเกษตรยิ่งนัก ผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานหาเลี้ยงชีพ กลายเป็นชุมชนและเมือง<br />
ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะพื้นที่สองฟากฝั่งแม่น้ำหลักสี่สาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน ที่เป็นแหล่งรวมน้ำ ที่หลากมาจากทางภาคเหนือของประเทศ ส่วนแม่น้ำบางปะกงและแม่น้ำแม่กลอง จะเป็นน้ำที่หลากมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกและตะวันตก ตามลำดับ<br />
ตามสภาพธรรมชาติ พื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีระดับสูงกว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกเล็กน้อย เป็นเหตุให้ฝั่งตะวันตกมีสภาพเหมาะแก่การเพาะปลูกประเภทพืชสวน และเป็นที่มาของการเรียกขานว่า บาง เช่น บางกอก บางบำหรุ บางบัวทองบางมด บางแวก บางปะกอก เป็นต้น <br />
ส่วนฝั่งตะวันออกที่มีระดับต่ำกว่า มีสภาพเป็นทุ่ง เหมาะแก่การทำนา เช่น ทุ่งแสนแสบ ทุ่งวัวลำพอง ทุ่งพญาไท ทุ่งสามเสน ทุ่งมักกะสันทุ่งรังสิต ทุ่งดงละคร เป็นต้น บางพื้นที่จะมีน้ำท่วมขังเป็นประจำ เป็นหนองบึง เช่น หนองจอก บึงกุ่ม เป็นต้น หรือเป็นที่ลาด(ลุ่ม) เช่น ลาดพร้าว ลาดกระบัง ลาดหลุมแก้ว ลาดยาว ลาดปลาเค้า เป็นต้น<br />
ในช่วงฤดูฝน น้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ จะไหลไปตามสภาพพื้นที่ เกิดเป็นทางน้ำขนาดเล็กมากมาย กระจายทั่วพื้นที่ ก่อนจะไหลรวมลงบาง ทุ่ง หนอง หรือคู คลอง สู่แม่น้ำสายหลักทั้งสี่สาย ก่อนที่จะไหลลงสู่อ่าวไทย ท้องร่องและคูคลองที่เชื่อมต่อกันเป็นระบบทั่วทั้งพื้นที่นั้น เป็นที่มาของรูปสัณฐานของกรุงเทพ ที่พัฒนาต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหานครในปัจจุบัน<br />
แม่น้ำเจ้าพระยาที่คดเคี้ยวอ้อมไปมานั้น มาจากสภาพพื้นที่ราบริมอ่าวไทย จึงมีการขุดเชื่อมต่อเป็นคลองลัด เพื่อย่นระยะเดินทาง ดังที่เคยมีบันทึกไว้ว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีของสยามประเทศนั้น มีการขุดคลองลัด<br />
แม่น้ำเจ้าพระยาหลายแห่ง เช่น คลองลัดบางกอกใหญ่ ทำให้แนวแม่น้ำเดิมกลายเป็นคลองบางกอกน้อย และคลองบางกอกใหญ่ ในปัจจุบัน <br />
หรือกรณีคลองลัดนครเขื่อนขัณฑ์ ตรงบริเวณบางกระเจ้า ก็เคยขุดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ต้องยกเลิกไป ด้วยเกิดผลเสียหายจากน้ำทะเลหนุนขึ้น สร้างความเสียหายให้กับสวนผลไม้ จนในรัชสมัยปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้รื้อฟื้น คลองลัดโพธิ์ ขึ้นมาใหม่ โดยติดตั้งประตูน้ำ เพื่อรักษาระดับน้ำ และป้องกันการไหลย้อนของน้ำทะเลในฤดูแล้ง และเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาออกทะเลได้ในฤดูมรสุม<br />
แม่น้ำหลักสี่สาย คือ เจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง และแม่กลอง ยังเป็นโครงข่ายคมนาคมขนส่งสำคัญในอดีต ชาวบ้านใช้เป็นทางสัญจรติดต่อระหว่างชุมชนที่อยู่ริมน้ำ ร่วมกับทางน้ำธรรมชาติที่เดิมเคยคดเคี้ยว แต่เปลี่ยนสภาพไป เมื่อมีผู้คนใช้สัญจรผ่านไปมาอยู่เสมอ อย่างเช่น คลองช่องนนทรี คลองสามเสน คลองลาดพร้าว เป็นต้นห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-38624666065004284822011-10-21T01:10:00.000-07:002011-10-21T01:11:37.820-07:00กศน.หนองม่วงร่วมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอหนองม่วง ได้จัดโครงการ กศน.หนองม่วงร่วมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองลพบุรี อำเภอท่าวุ้ง และอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในระหว่างวันที่ 2 -11 พฤศจิกายน 2554 โดยจะดำเนินการจัดทำอาหาร เช่น ผัดไท ต้มยำปลากระป๋อง ข้าวสวย เพื่อนำไปช่วยในพื้นที่ ดังกล่าว และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอหนองม่วง จะมีรถประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งมารับของบริจาคในบริเวณตลาดหนองม่วง ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป รายการสิ่งของที่ขอรับบริจาค เช่นไข่ไก่หรือ ไข่เป็ด น้ำมันพืช เส้นหมี่ เส้นจัน เส้นหมี่โคราช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เส้นหมี่ขาวไวไว ข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำตาลทราย น้ำเปล่า อื่นๆ <br />
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอหนองม่วง จึงขอประชาสัมพันธ์มา ณ ที่นี้ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-5476752402278899592011-10-20T23:14:00.000-07:002011-10-20T23:14:41.844-07:00กศน.อำเภอหนองม่วง รับสมัครนักศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ด้วยศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอหนองม่วง ได้เปิดรับสมัครนักศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ในระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และรับลงทะเบียนตั้งแต่บัดนี้ ถึง วันที่ 30 ตุลาคม 2554 เวลา 08.30 - 16.30 น. โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ ณ กศน.ตำบลทุกแห่ง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอหนองม่วง และห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วง<br />
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยหนองม่วง จึงความอนุเคราะห์ท่าน มอบให้เจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายให้กับประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน<br />
<span style="color: #6aa84f;">หลักฐานที่ใช้ในการสมัครเรียน</span><br />
1.สำเนาวุฒิการศึกษา จำนวน 2 ฉบับ<br />
2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 2 ฉบับ<br />
3.สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 2 ฉบับ<br />
4.รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 ฉบับ<br />
5.เอกสารอื่น ๆ ถ้ามี เช่น ใบทะเบียนสมรส ใบเปลี่ยนชื่อ จำนวน 2 ฉบับ<br />
<br />
<span style="color: #6aa84f;">****</span> หมายเหตุ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลและรายละเอียดในการสมัครเรียนเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอหนองม่วงในวันและเวลาราชการ เบอร์โทรศัพท์ 0-3643-1878ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-88660188813214812482011-10-20T20:19:00.000-07:002011-10-20T20:22:18.594-07:00พระปิยะมหาราช<span style="color: magenta;">พระราชประวัติ และพระราชกรณีกิจ</span> <br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgoSsLnrhPquhau7WK7ZvXwzD-Q2B3Cu_99Clb5uyfODaIgcCOlbPMIVcoD5ZX_70SIJFdoZgbFoJiid7xH_cuuL1pl2CF8vJ3TDBrzGh3hAMbx1om8mqdAgMUE8cGLFUBFF3OczdG2PYc/s1600/kingramav.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" rda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgoSsLnrhPquhau7WK7ZvXwzD-Q2B3Cu_99Clb5uyfODaIgcCOlbPMIVcoD5ZX_70SIJFdoZgbFoJiid7xH_cuuL1pl2CF8vJ3TDBrzGh3hAMbx1om8mqdAgMUE8cGLFUBFF3OczdG2PYc/s320/kingramav.gif" width="190" /></a></div><br />
พระบาท สมเด็จ พระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรม ราชจักรีวงศ์ พระนามเดิมว่า สมเด็จ เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ฯ เป็น พระราชโอรส ในพระบาท สมเด็จ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ พระเทพ ศิรินทรา บรมราชินี พระราช สมภพ เมื่อ วันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๙๖ มีพระขนิษฐา และ พระอนุชา ร่วมสมเด็จ พระบรมราชนี ๓ พระองค์ คือ <br />
๑. สมเด็จ พระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทร มณฑล โสภณภควดี กรมหลวง วิสุทธิกษัตริย์<br />
๒. สมเด็จ พระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์ รัศมี กรมพระจักร พรรดิพงศ์ ต้นราชสกุล จักรพันธุ์<br />
๓. จอมพล สมเด็จ พระราช ปิตุลาบรม พงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณ ุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา ภาณุพันธุวงศ์ วรเดช ต้นราชสกุล ภาณุพันธุ์<br />
<a name='more'></a><br />
เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์ ทรงศึกษา ในสำนัก พระเจ้า บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า บุตรี กรมหลวง วรเสรฐสุดา พระราชธิดา ใน พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นขัตติย ราชนารี ผู้ทรงรอบรู้ ด้านอักษรศาสตร์และ โบราณ ราชประเพณี อย่างดียิ่ง นอกจากนั้น ทรงศึกษาภาษามคธ กับ พระยาปริยัติ ธรรมธาดา (เนียม) เมื่อเป็นหลวง ราชาภิรมย์ กรมราชบัณฑิต ทรงศึกษา วิชาการยิง ปืนไฟ จากสำนัก พระยา อภัยศรเพลิง(ศรี) วิชา คชกรรม กับ สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า มหามาลา กรมพระยา บำราบปรปักษ์ และ วิชาการอื่น ๆ อันสมควร แก่บรมราชกุมาร ส่วนภาษาอังกฤษ ทรงศึกษา จากชาวต่าง ประเทศ โดยตรง คือ นางแอนนา เลียวโนเวนส์ หมอจันดเล และ นายแปตเตอร์สัน จนกระทั่ง มีพระราชกิจมากขึ้น ไม่อาจศึกษา กับ พระอาจารย์ได้ ก็ได้ทรงพระอุตสาหะ ศึกษาด้วย พระองค์เอง จนทรงมี ความรู้ ภาษาอังกฤษ แตกฉาน ส่วนในด้านวิชาการ รัฐศาสตร์ ราชประเพณี และ โบราณคดีนั่น สมเด็จ พระบรม ชนกนาถ เป็นผู้พระราชทาน การฝึกสอน ตลอดมา <br />
ปีพุทธศักราช ๒๔๐๔ ทรงได้รับ การสถาปนา เป็นกรมหมื่น พิฆเณศวร สุรลังกาศ แล้วทรงผนวช เป็นสามเณช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๙ หลังจาก ลาผนวชแล้ว ประทับ ณ พระตำหนัก สวนกุหลาบ ในพระบรม มหาราชวัง ระหว่างนี้ สมเด็จพระบรม ชนกนาถ ทรงกวดขันดูแล ในเรื่อง ราชการแผ่นดินมากขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าปฏิบัติ ประจำพระองค์ นอกเหนือ จากเวลาเฝ้า ตามปรกติ เพื่อทรง รับฟังพระบรม ราโชวาท และ พระบรม ราชาธิบาย ในเรื่อง ราชการ และราชประเพณี ต่าง ๆ อยู่เสมอ ต่อมาปี พุทธศักราช ๒๔๑๐ เมื่อเลื่อน พระอิสริยยศ เป็น กรมขุน และ เปลี่ยนพระนามกรม เป็นกรมขุนพินิต ประชานาถแล้ว ทรงรับ หน้าที่ ในการบังคับ บัญชากรม มหาดเล็ก กรมทหารบก วังหน้า กรมล้อม พระราชวัง และ กรมพระคลัง มหาสมบัติ <br />
หลังจาก พระบาท สมเด็จ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว สวรรคต เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๑๑ ที่ประชุม เสนาบดี และ พระบรม วงศานุวงศ์ พร้อมใจกัน อัญเชิญ สมเด็จ เจ้าฟ้าชาย จุฬาลงกรณ์ฯ ขึ้นเถลิงถวัลย ราชสมบัติ มีพระราชพิธี บรมราชาภิเษก ครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๑ แต่เนื่องจาก ขณะนั้น พระองค์ ยังไม่บรรลุ พระราช นิติภาวะ สมเด็จ เจ้าพระยา มหาศรี สุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ขณะนั้น มีบรรดาศักดิ์ เป็นเจ้าพระยา ศรีสุรยวงศ์ จึงรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จ ราชการแผ่นดิน จนกระทั่ง ทรงบรรลุ พระราช นิติภาวะแล้ว ทรงผนวช เป็นพระภิกษุ เป็นเวลา ๒ สัปดาห์ แล้วจึงมีพิธีบรมราชา ภิเษก อีกครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๖ และ นับจากนั้น มาก็ ทรงพระราช อำนาจเด็ดขาด ในการบริหารราชการ แผ่นดิน ซึ่งตลอด รัชสมัยของพระองค์ได้ ทรงบำเพ็ญ พระราช กรณียกิจ ต่าง ๆ อันก่อให้เกิด คุณประโยชน์ แก่ประเทศชาติ อย่างอเนกอนันต์ ทรงเป็น พระมหา กษัตริย์ ที่เปี่ยม ด้วยความสุขุม คัมภีรภาพ ทรงนำ ประเทศชาติ ให้รอดพ้น วิกฤตการณ์ และ สามารถธำรง เอกราชไว้ได้ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-12211429811593215772011-10-20T20:12:00.000-07:002011-10-20T20:12:13.280-07:006 เรื่องไม่ควรทำ เมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhK_0c-hVLlWj7nruHM3h5axUtQ7Ciy9SxCi2mT8K9vScIbng4q833RceDa62XDR8pHqdxF7e7epVHLk25ZuadDpT7XZ8cU4tAJ3NN_dwl01q4yHg-O5AIWMLowO38j8hEiSPNG_pMtoDA/s1600/jenkins-2007-drivingthrough.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="236" rda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhK_0c-hVLlWj7nruHM3h5axUtQ7Ciy9SxCi2mT8K9vScIbng4q833RceDa62XDR8pHqdxF7e7epVHLk25ZuadDpT7XZ8cU4tAJ3NN_dwl01q4yHg-O5AIWMLowO38j8hEiSPNG_pMtoDA/s400/jenkins-2007-drivingthrough.jpg" width="400" /></a></div><br />
เมื่อก่อนหน้านี้ เราเคยพูดถึงการขับรถลุยน้ำท่วมไปแล้วกับข้อปฏิบัติที่ควรจะทำเมื่อคุณต้องลุยเส้นทางน้ำท่วม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังมีหลายคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในการขับรถลุยน้ำ แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังต้องผ่านทางลุยน้ำท่วมระดับสูง สิ่งเหล่านี้คือข้อห้ามระหว่างขับขี่ในน้ำท่วม<br />
<br />
1.ห้ามขับรถเร็ว เส้นทางน้ำท่วมนั้นนับเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่ท้าทายอย่างมากสำหรับนักขับ และสิ่งที่สำคัญเมื่อคุณใช้เส้นทางที่เต้มไปด้วยน้ำนั้นคือห้ามขับรถเร็ว เหตุผลที่เราไม่แนะนำให่คุณขับรถเร็วนั้น ก็เพราะ 1.น้ำอาจจะกระเด็นใส่คนอื่นๆ หรือ เพื่อนร่วมทาง ซึ่งคุณอาจจะโดนสาบแช่งตามหลังได้ และ 2.เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากน้ำท่วมนั้น อาจทำให้การเบรกให้หยุดนั้นมีประสิทธิภาพลดลง เช่นเดียวกับระยะเบรค ที่เกิดจากการสัมผัสผิวถนนนั้นทำได้ยากขึ้น ทำให้ลื่นยิ่งขึ้น<br />
2.อย่าเร่งเครื่องแรง ในการลุยพื้นทีน้ำท่วมนั้น ตามปกติของการลุยอุปสรรคทั้งหลายนั้น เรามักจะใช้กำลังเครื่องเดินเบามากกว่าใช้การเร่งเครื่องเพื่อผ่านอุปสรรค ซึ่งการเดินเบานี้เราเรียกว่า Walking Speed ซึ่งตามหลักการทำงานของเครื่องยนต์แล้ว ยิ่งเราเร่งเครื่องมาก เครื่องยนต์ก็จะยิ่งต้องการอากาศมากเพื่อไปใช้ผสมกับอัตราการจ่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และถ้าคุณลุยน้ำในระดับสูง แล้วเร่งเครื่องรอบสูงผลก็คือ เครื่องยนต์อาจจะดูดน้ำเข้าไป และท้ายที่สุดเครื่องยนต์อาจจะดับได้<br />
<a name='more'></a> 3.พยายามอย่าใช้เบรก เบรกรถนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในการเดินทางและในพื้นที่น้ำท่วมนั้นพยายามลดการใช้เบรค แต่ให้ใช้แรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ในการหยุดรถหรือชะลอความเร็ว ยิ่งเมื่อรวมกับมวลของน้ำแล้วนั้น เราก็จะพบว่า การลดความเร็วในพื้นที่น้ำท่วมนั้นสามารถทำได้ง่าย แม้ไม่ใช้เบรค ที่สำคัญอย่าวิ่งติดกับคันหน้า ควรเว้นระยะห่างสัก2 ช่วงคัน รถ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะ ในกรณีที่คันหน้าอาจจะเสีย เราจะได้ไม่ติดท่ามกลางสายน้ำ<br />
4.พยายามอย่าใช้คลัทช์ คลัทช์นั้นเป้นตัวตัดต่อกำลังเคร่องยนต์ และ แม้คลัทช์จะเป็นอุปกรณ์ภายในที่อยู่ระหว่างท้ายเครื่องยนต์และชุดเกียร์ แต่ก ใครที่ขับรถเกียร์ธรรมดาในน้ำท่วมแล้วคิดจะต้องย้ำคลัทช์เพื่อให้ให้รถดับนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกครั้งที่ย้ำคลัทช์ เครื่องจะเร่งแรงเพิ่มขึ้นทำให้ เครื่องอาจจะดูดน้ำเข้าไปได้ และอีกประการคือ น้ำมีแรงดันซึ่งอยู่ที่ล้อ ยิ่งน้ำลึก ยิ่งทำให้ยากต่อการหมุน ซึ่งหมายถึงคลัทช์จะต้องรับแรงในการเชื่อมต่อมากขึ้นจากเดิม ซึ่งผลคือสามารถทำให้คลัทช์รถนั้นไหม้ได้ ดังนั้นทางที่ดีเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมก่อนลงน้ำ ครับ<br />
5.อย่าสร้างคลื่นน้ำ คลื่นน้ำคือตัวอันตรายที่สำคัญที่สุดในการทำให้รถนั้นสามารถดับกลางอากาศได้ระหว่างลุยน้ำท่วม และนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆ การที่เราวิ่งรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ไม่เกิดคลื่นไม่ได้ แต่เราสามารถรถผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากับรถตัวเอง หรือรถคันอื่นๆก็ตาม และทางที่ดี เมื่อพบว่ามีรถสวน ก็ให้ลดความเร็วลง ถ้าเห็นว่ารถคันที่สวนมามาเร็ว ลิฟไฟส่งสัญญาณสักนิด ก็ดีใช่น้อย แต่หาก รถอีกคันมาแรงคืล่นมาสูงมาก ให้เราเร่งความเร็วเพิ่ม เพื่อทำให้เกิดคลื่นปะทะ ก่อนที่หน้ารถเราจะผ่านคลื่นน้ำนั้น อย่าเหวี่ยงรถหนี เพราะ คลื่นสามารถดันรถ อาจทำให้คว่ำได้โดยเฉพาะรถยกสูง<br />
6.อย่าเหวี่ยงรถกะทันหัน หลายครั้งที่เราขับรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่า อาจจะมีเซอร์ไพร์ส กับหลุมที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำ แต่ถ้าคุณเห็นในระยะกระชั้นชิดแล้วเตรียมที่จะหักหลบหนี อย่าทำโดยเด็ดขาด เพราะพื้นถนนมีแรงยึดเกาะต่ำ ยิ่งถ้าคุณมาเร็วมาก อาจจะเป็นต้นเหตุทำให้รถคว่ำเอาได้ง่ายๆ<br />
ทั้ง 6 ข้อนี้เป็นคำแนะนำจากเราที่อยากให้ปฏิบัติ เมื่อขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการขับรถลุยน้ำท่วมนั้น คือการเชื่อมั่นในรถ และเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าหวั่นวิตกกับอุปสรรคบนเส้นทางข้างหน้าห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-8150966574447725362011-10-20T19:36:00.000-07:002011-10-20T19:36:04.157-07:00ถุงใส่น้ำสะอาด กรณีฉุนเฉินน้ำท่วม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9jEj5wsW36wQeQzhe5hG4u6R-PaR-GpLAJjlFBNF0yJF7DAY5d3D_jHTGuzM_SR-zeAQ6AG1Sd48edRXkfhQU0WluchdfZAEqx3Sl_TEVBQItNeb-iE0mm1Z-lV0CKTGxM_2mki7maRA/s1600/120886.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="285" rda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9jEj5wsW36wQeQzhe5hG4u6R-PaR-GpLAJjlFBNF0yJF7DAY5d3D_jHTGuzM_SR-zeAQ6AG1Sd48edRXkfhQU0WluchdfZAEqx3Sl_TEVBQItNeb-iE0mm1Z-lV0CKTGxM_2mki7maRA/s400/120886.jpg" width="400" /></a></div><br />
ในช่วงที่เกิดภาวะอุทกภัยนํ้าท่วม การเตรียมตัวเพื่อดำรงชีพระหว่างน้ำท่วมขัง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า เช่น การเตรียมเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำดื่ม น้ำใช้ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในภาวะแบบนี้ <br />
<br />
หากน้ำที่กักเก็บไว้ไม่สามารถปิดฝาภาชนะได้สนิท หรือ มีภาชนะเก็บน้ำสะอาดไม่เพียงพอ ถุงพลาสติกใส่อาหารช่วยได้ <br />
1. เปิดปากถุงพลาสติกใสชนิดบรรจุอาหาร ถ้ามีใบใหญ่ที่สุดยิ่งดี <br />
2. เทน้ำสะอาดใส่ถุงประมาณครึ่งถุง อย่าใส่เต็ม จะมัดปากถุงลำบาก<br />
3. ม้วนปากถุงเป็นเกลียว มัดด้วยเชือกฟางให้แน่น โดยให้มีอากาศอยู่ ภายในประมาณ 1 ใน 4 ของถุง เพื่อให้สังเกตเห็นถุงลอยเหนือน้ำได้ง่าย <br />
4. นำปลายเชือกฟางที่เหลือ ผูกติดกับหลักยึดป้องกันการลอยน้ำหายไป <br />
เมื่อน้ำท่วม อากาศในถุงจะยกตัวขึ้นผิวน้ำ ทำให้มองหาถุงง่ายกว่าไม่มีอากาศ ถุงน้ำมีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายในน้ำได้ง่าย หากยกถุงขึ้นจากน้ำ ถุงจะหนักขึ้นตามน้ำหนักน้ำที่ใส่ สามารถใช้ถุงขยะสีขุ่น/ถุงดำ เพื่อใส่น้ำใช้ (ไม่ใช่น้ำดื่ม) ต้องล้างถุงให้สะอาดก่อน และควรเลือกถุงที่มีความเหนียวมาก ๆระวังอย่าให้ถุงโดนของมีคมที่ลอยตามน้ำ จะทำให้ถุงแตกรั่วซึม <br />
แนวคิดนี้ได้จากการสังเกตเห็นถุงใส่แกงจืดที่ตกลงไปในน้ำแล้วลอยน้ำได้ จึงได้ทดลองนำถุงพลาสติกใส่น้ำสะอาดแล้วไปลอยในบ่อน้ำ ปรากฏว่าน้ำสะอาดข้างในยังสามารถนำมาใช้ได้ โดยต้องมัดปากถุงให้สนิทที่สุด หวังว่าการใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำสะอาดนี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการที่จะสำรองน้ำไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และที่สำคัญหากใช้ถุงพลาสติกเสร็จแล้ว ควรนำถุงไปใช้ซ้ำ เช่น ใส่สิ่งของ ใส่ขยะ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าที่สุด ก่อนที่จะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติให้ใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-76097126670052370512011-10-11T01:55:00.000-07:002011-10-11T02:09:48.381-07:00วันออกพรรษา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCoQoVUrS-2UBlQwZkqYE4RXTLkN2bBYb10IPaGQ-qgVdnUCf8ykpHLSDrVBIdI6QMjRLPVOOSHnD-jxwDMiq2wIH-c58jMsBQ6BXfUtWtz400SOttYHJ05JgCI2KvFIXFPcPxTAgnxC8/s1600/84292.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="232" kca="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCoQoVUrS-2UBlQwZkqYE4RXTLkN2bBYb10IPaGQ-qgVdnUCf8ykpHLSDrVBIdI6QMjRLPVOOSHnD-jxwDMiq2wIH-c58jMsBQ6BXfUtWtz400SOttYHJ05JgCI2KvFIXFPcPxTAgnxC8/s320/84292.jpg" width="320" /></a></div> <br />
หลังเทศกาลเข้าพรรษาผ่านพ้นไปได้ 3 เดือน ก็จะเป็น วันออกพรรษา ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่วัดในช่วงฤดูฝนตลอด 3 เดือนของพระภิกษุสงฆ์ โดย วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "วันมหาปวารนา" คำว่า "ปวารนา" นั้นแปลว่า อนุญาตหรือยอมให้ โดยในปีนี้ วันออกพรรษา ตรงกับวันที่ 12 ตุลาคม 2554 <br />
ทั้งนี้ วันออกพรรษา พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ที่เรียกว่า มหาปวารณา ใน วันออกพรรษา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ เนื่องจากในระหว่างที่เข้าพรรษาอยู่ด้วยกัน พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข และการให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนก็จะทำให้รู้ข้อบกพร่องของตน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันได้ด้วย พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้ และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แม้พระผู้ใหญ่จะมีอาวุโสมากกว่า แต่ท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง เพื่อเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหาย ไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรืออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา<br />
<br />
<a name='more'></a> สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ "สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ" มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี<br />
เมื่อทำพิธี วันออกพรรษา แล้ว พระภิกษุสงฆ์สามารถจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ หรือค้างคืนที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระพุทธบัญญัติ และยังได้รับอานิสงค์ก็คือ <br />
<br />
- ไปไหนไม่ต้องบอกลา<br />
<br />
- ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด<br />
<br />
- มีสิทธิ์รับลาภที่เกิดขึ้นได้<br />
<br />
- มีโอกาสได้อนุโมทนากฐิน ที่จะสามารถขยายเวลาของอานิสงค์ออกไปอีก 4 เดือน<br />
<br />
<span style="background-color: #9fc5e8;">ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา</span><br />
<br />
ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา ที่นิยมปฏิบัติอยู่ 2 อย่าง คือ <br />
1. ประเพณีตักบาตรเทโว หลัง วันออกพรรษา หลังวันออกพรรษา 1 วัน คือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะมีการ "ตักบาตรเทโว" หรือชื่อเต็มตามคำพระว่า "เทโวโรหนะ" แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก โดยสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตักบาตรดาวดึงส์" โดยอาหารที่นิยมนำไปใส่บาตรคือ ข้าวต้มมัด และ ข้าวต้มลูกโยน <br />
<br />
<span style="background-color: #f6b26b;">ความเป็นมาของประเพณีตักบาตรเทโว</span> มีดังนี้<br />
<br />
สมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม และเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาโดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา 1 พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัสสคร การที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกตามศัพท์ภาษาบาลีว่า "เทโวโรหณะ" ในครั้งนั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยพิธีตักบาตรเทโวโรหณะในปัจจุบันนั้นจะเริ่มตั้งแต่ตอนรุ่งอรุณ หลัง วันออกพรรษา พระภิกษุสามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สมมติว่า พระลงมาจากบันไดสวรรค์ บางที่ก็มีดนตรีบรรเลงเพลงไทยเดิม สมมุติว่าเป็นพวกเทวดาบรรเลง ขับกล่อมตามส่งพระพุทธเจ้า ยังมีพวกแฟนตาซีอีก แต่งเป็นพวกยักษ์ เทวดา พระอินทร์ พรหม นางเทพธิดา นำหน้าขบวนพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีนี้<br />
2. ประเพณีเทศน์มหาชาติ หลัง วันออกพรรษา <br />
งานเทศน์มหาชาติ นิยมทำกันหลัง วันออกพรรษา พ้นหน้ากฐินไปแล้ว ซึ่งกฐินจะทำกัน 1 เดือนหลังออกพรรษา ที่จะร่วมกันทอดกฐินทั้ง จุลกฐิน และ มหากฐิน โดยประเพณีงานเทศน์มหาชาติอาจทำในวันขี้น 8 ค่ำกลางเดือน 12 หรือในวันแรม 8 ค่ำ ก็ได้ เพราะในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน 4 เรียกว่า "งานบุญพระเวส" ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน 5 ต่อเดือน 6 ก็มี งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด บางแห่งนิยมทำในเดือน 10 โดยการเทศน์มหาชาตินั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 กัณฑ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br />
ประเพณี วันออกพรรษา ในแต่ละภาคนอกจากนี้ในแต่ละภาคก็จะมีประเพณีที่ต่างกันไป<br />
วันออกพรรษา ภาคกลาง<br />
จังหวัดนครปฐม ที่พระปฐมเจดีย์ พระภิกษุสามเณรจะมารวมกันที่องค์พระปฐมเจดีย์ แล้วก็เดินลงมาจากบันไดนาคหน้าวิหารพระร่วง สมมติว่าพระเดินลงมาจากบันไดสวรรค์ชาวบ้านก็คอยใส่บาตร<br />
จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ณ วัดสะแกกรัง พระภิกษุก็จะเดินลงมาจากเขารับบิณฑบาตจากชาวบ้าน โดยขบวนพระภิกษุสงฆ์ที่ลงมาจากบันไดนั้นนิยมให้มีพระพุทธรูปนำหน้า ทำการสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้า จะใช้พระปางอุ้มบาตร ห้ามมาร ห้ามสมุทร รำพึง ถวายเนตรหรือปางลีลา ตั้งไว้บนรถหรือตั้งบนคานหาม มีที่ตั้งบาตรสำหรับอาหารบิณฑบาต<br />
แต่สำหรับบางที่ไม่นิยมตักบาตรเทโว แต่นิยมตักบาตรตอนเช้าถวายอาหารพระภิกษุแล้วฟังเทศน์รักษาอุโบสถศีล ส่วนที่นิยมตักบาตรเทโว จะทำบุญเป็น 2 วัน คือวันออกพรรษากับวันเทโว ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ในวันออกพรรษานั้น หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย ๆ และรักษาอุโบสถศีล <br />
ส่วนทางภาคใต้ก็จะมีประเพณีชักพระหรือลากพระ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปนั่นเอง โดยมี 2 กรณี คือ ชักพระทางบก กับ ชักพระทางน้ำ พิธีชักพระทางบก <br />
ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนวันชักพระ 2 วัน จะมีพิธีใส่บาตรหน้าล้อ นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ยังมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของงาน คือ "ปัด" หรือข้าวต้มผัดน้ำกะทิห่อด้วยใบมะพร้าว บางที่ห่อด้วยใบกะพ้อ (ปาล์มชนิดหนึ่ง) ในภาคกลางเขาเรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน ก่อนจะถึงวันออกพรรษา 1 - 2 สัปดาห์ ทางวัดจะทำเรือบก คือ เอาท่อนไม้ขนาดใหญ่ 2 ท่อนมาทำเป็นพญานาค 2 ตัว เป็นแม่เรือที่ถูกยึดไว้อย่างแข็งแรง แล้วปูกระดาน วางบุษบก บนบุษบกจะนำพระพุทธรูปยืนรอบบุษบกก็วางเครื่องดนตรีไว้บรรเลง เวลาเคลื่อนพระไปสู่บริเวณงานพอเช้าวัน 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านจะช่วยกันชักพระ โดยถือเชือกขนาดใหญ่ 2 เส้นที่ผูกไว้กับพญานาคทั้ง 2 ตัว เมื่อถึงบริเวณงานจะมีการสมโภช และมีการเล่นกีฬาพื้นเมืองต่างๆ กลางคืนมีงานฉลองอย่างมโหฬาร อย่างการชักพระที่ปัตตานีก็จะมีชาวอิสลามร่วมด้วย<br />
พิธีชักพระทางน้ำ ก่อนถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ทางวัดที่อยู่ริมน้ำ ก็จะเตรียมการต่างๆ โดยการนำเรือมา 2 - 3 ลำ มาปูด้วยไม้กระดานเพื่อตั้งบุษบก หรือพนมพระประดับประดาด้วยธงทิว ในบุษบกก็ตั้งพระพุทธรูป ในเรือบางที่ก็มีเครื่องดนตรีประโคมตลอดทางที่เรือเคลื่อนที่ไปสู่จุดกำหนด คือบริเวณงานท่าน้ำที่เป็นบริเวณงานก็จะมีเรือพระหลายๆ วัดมาร่วมงาน ปัจจุบันจะนิยมใช้เรือยนต์จูง แทนการพาย เมื่อชักพระถึงบริเวณงานทั้งหมด ทุกวัดที่มาร่วมจะมีการฉลองสมโภชพระ มีการละเล่นต่างๆ อย่างสนุกสนาน เช่น แข่งเรือปาโคลน ซัดข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อฉลองเสร็จ ก็จะชักพระกลับวัด บางทีก็จะแย่งเรือกัน ฝ่ายใดชนะก็ยึดเรือ ฝ่ายใดแพ้ต้องเสียค่าไถ่ให้ฝ่ายชนะ จึงจะได้เรือคืน<br />
ในเขตที่มีบ้านเรือนอยู่ในเขตแม่น้ำลำคลองก็จะมีพิธีรับพระเช่นกัน อย่างที่อำเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ทางวัดจะอัญเชิญพระพุทธรูปยืนลงบุษบกในตัวเรือแล้วแห่ไปตามลำคลอง ชาวบ้านก็จะโยนดอกบัวจากฝั่งให้ตกในเรือหน้าพระพุทธรูป แล้วโยนข้าวต้ม และยังมีการแข่งขันเรือชิงรางวัลอีกด้วย หรือจะเป็นประเพณีตักบาตรพระร้อย ที่เป็นการใส่บาตรพระร้อยรูป ส่วนมากจะจัดพิธีขึ้นทางน้ำเนื่องจากแต่ก่อนบ้านเรือนจะอยู่ติดแม่น้ำลำคลอง การสัญจรไปไหนมาไหนก็จะใช้เรือ พระส่วนใหญ่จึงใช้เรือในการออกบิณฑบาต<br />
<br />
กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติใน วันออกพรรษา<br />
1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ<br />
2. ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือจัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา<br />
3. ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"<br />
4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัด และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา<br />
5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป<br />
6. งดการเที่ยวเตร่ ละเว้นอบายมุข รวมทั้งละเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำพิธี วันออกพรรษา จะมีดังต่อไปนี้<br />
เตือนสติว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปอีกพรรษาหนึ่งแล้วได้คร่าชีวิตมนุษย์ ให้ผู้คนนั้นดำรงอยู่ในความไม่ประมาทและหันมาสร้างกุศล<br />
การทำบุญออกพรรษาจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชำระความผิดของตนได้ คือหลักปวารณา ปกติคนเราคบกันนานๆ ก็จะเผย "สันดาน" ที่แท้ออกมา อาจจะไม่ดีนักแต่ตนเองไม่รู้ตัวแล้วมองไม่เห็น แต่ผู้อยู่ข้างๆ มองเห็นแต่ไม่กล้าเตือน ดังนั้นตนเองต้องปวารณาตัวให้ผู้อื่นชี้แนะได้ ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นและยั่งยืน<br />
ได้ข้อคิดที่ว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะลำเอียงเข้าข้างตนเองเป็นฝ่ายถูก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายส่วนตนเองนั้นความผิดนั้นเห็นยาก นี่แหละสัญชาตญาณของคนเราเป็นการให้รู้ถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการเปิดใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในใดๆ ต่อในการคบหาหรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข<br />
ดังนั้นใครที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง วันออกพรรษา จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการย้อนมองดูตัวเองว่าได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้บ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ปรับปรุงและไม่ทำผิดซ้ำในเรื่องเดิมอีกห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-10590267414799125282011-09-28T01:26:00.000-07:002011-09-28T01:26:51.843-07:00เทคนิคอ่านหนังสือให้จำได้<span style="color: #6aa84f;">แนะนำวิธีการอ่านหนังสือประเภทต้องใช้ความจำเยอะ ฉบับสั้นๆ ให้เพื่อนๆ ลองนำไปใช้ดูค่ะ</span><br />
<span style="color: #6aa84f;"></span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4SORbepG95E9F3XB_lCDe3c9142cWblhoLvoPu_jG9SGy311ScrILLVErjOBt5zORZHMRtAj2yIaYUKg82T7y8uSqS5VSOSrlJvmGAIAoJXj-yRoIVLgKshbP25TV9hBZ95y9IPfY3kc/s1600/118980.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" kca="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4SORbepG95E9F3XB_lCDe3c9142cWblhoLvoPu_jG9SGy311ScrILLVErjOBt5zORZHMRtAj2yIaYUKg82T7y8uSqS5VSOSrlJvmGAIAoJXj-yRoIVLgKshbP25TV9hBZ95y9IPfY3kc/s1600/118980.jpg" /></a></div><br />
1.สิ่งที่แรกคือ จดจ่ออยู่กับหนังสือ ไม่วอกแวก<br />
2.เริ่มอ่าน...<br />
3.พยามสรุปให้ได้ว่า แต่ละย่อหน้านั้นที่อ่านมามีอะไรบ้าง ประมาณว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร(สูตรนี้เอามาจากอาจารย์)<br />
4.แต่ละหัวข้อนั้นๆ อันไหนสำคัญใช้ปากกาเน้นขีดไว้ (ประมาณว่าเก็งข้อสอบ) <br />
5.พออ่านแล้วใช้ปากกาเน้นขีดเนื้อหาที่สำคัญของหัวข้อนั้นๆ หมดทุกเรื่อง เมื่อใกล้สอบให้กลับมาอ่านข้อความที่เน้นไว้ทุกข้อความ<br />
6.ถ้าว่างจนไม่มีอะไรทำ ให้คิดทบทวนเนื้อหาที่อ่านมาในใจ ประมาณว่าหัวข้อนี้มีอะไรบ้างที่สำคัญห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-9332710519050595802011-08-23T20:53:00.000-07:002011-08-23T20:53:43.102-07:0015 วิธีลับสมองให้ความให้ความจำดีขึ้น<span style="color: magenta;">15 วิธีลับสมองให้ความจำดีขึ้น</span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEge6yU6nO46Wkup2px9mYqIDj40TaDiSxrydS27W6-bgw635BHvJ7r5-hamxI50kyiTBSUzX8kRn-GyvaByBRdyIXhtZpEhtZqFAz4s2QGux2rq8x4kaHBhVa3jWMAfKT6W_9auBCU-1ww/s1600/116665.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="284" qaa="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEge6yU6nO46Wkup2px9mYqIDj40TaDiSxrydS27W6-bgw635BHvJ7r5-hamxI50kyiTBSUzX8kRn-GyvaByBRdyIXhtZpEhtZqFAz4s2QGux2rq8x4kaHBhVa3jWMAfKT6W_9auBCU-1ww/s320/116665.jpg" width="320" /></a></div><br />
นี่คือคำแนะนำเพื่อความจำที่ดีขึ้น <br />
1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆนั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ <br />
2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ ง่ายๆขึ้น <br />
3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด <br />
4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม <br />
5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวน ไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย <br />
<a name='more'></a><br />
6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ<br />
7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน <br />
8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง <br />
9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้วคำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ <br />
10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด <br />
11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่อของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น <br />
12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้ <br />
13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย <br />
14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ <br />
15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า<br />
<br />
<br />
<br />
ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-2928533154119724662011-08-23T20:12:00.000-07:002011-08-23T20:16:52.673-07:004 เคล็ดลับ สร้างสุขภาพเกรด A<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6rc3m2IABrH3KeeyriqA5f-yYO38JE-WQu22Kq-LM23RiqEaCQeMwimexw8t0FHPxwtvnL8zbIc-ayVIPe3DAvazP_PRwJJxznqYBLARr3x7x2U0O3LESRdalRRwVAbLwjEk2j3_015U/s1600/89060.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" qaa="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6rc3m2IABrH3KeeyriqA5f-yYO38JE-WQu22Kq-LM23RiqEaCQeMwimexw8t0FHPxwtvnL8zbIc-ayVIPe3DAvazP_PRwJJxznqYBLARr3x7x2U0O3LESRdalRRwVAbLwjEk2j3_015U/s320/89060.jpg" width="320" /></a></div> กิน ดื่ม นอน ถ่าย เป็นกลไกปกติของชีวิตประจำวันมนุษย์ และเป็นต้นทางสู่ความอ่อนแอ ขี้โรค หรือว่าแข็งแรงสดใสด้วย <br />
<br />
ใครอยากมีสุขภาพดีๆ โปรดทำตามเคล็ดลับที่จะขอแนะนำทั้ง 4 ประการดังต่อไปนี้ <br />
<br />
<strong><span style="background-color: #ead1dc;">เคล็ดลับของการกิน</span></strong> <br />
<br />
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย ไม่ซ้ำซาก <br />
2. กินอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดๆ และสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนเป็นสำคัญ <br />
3. อย่ากินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะหวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด มันจัด หรือเผ็ดจัดก็ตาม ยกเว้นขมจัด เช่น มะระหรือสะเดา <br />
4. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และรับประทานช้าๆ อย่ารีบเร่ง <br />
5. กินอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ดีที่สุด <br />
6. กินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป <br />
7. กินผักและผลไม้ให้ติดเป็นนิสัย ผลไม้ไม่ควรหวานจัด <br />
<a name='more'></a><br />
<span style="background-color: #f4cccc;"><strong>เคล็ดลับของการดื่มนม</strong></span> <br />
<br />
นม เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ ประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ คือ แคลเซียม และฟอสฟอรัส จึงช่วยให้กระดูก และฟันแข็งแรง นอกจากนั้น ยังมีโปรตีน น้ำตาลแลคโตส และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินบี 2 ที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานเป็นปกติ นมมีหลายชนิด มีทั้งนมรสจืด และนมปรุงแต่งชนิดต่างๆ ซึ่งให้คุณค่าอาหารใกล้เคียงกัน <br />
หญิง มีครรภ์ ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว เด็กก่อนวัยเรียน และวัยรุ่น ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง และชะลอการเสื่อมสลายของกระดูก <br />
สำหรับ ข้อควรระวัง ก็คือ ก่อนซื้อนมทุกครั้ง ควรสังเกต วัน เดือน ปี ที่ข้างกล่องว่า หมดอายุหรือไม่ ควรเลือกเฉพาะนมที่บรรจุในภาชนะที่ผิดสนิท ภาชนะไม่รั่วซึม หรือบวม นมบางชนิด เช่น นมพาสเจอไรส์ หรือโยเกิร์ต ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส <br />
แคลเซียม ที่มีอยู่ในร่างกาย จะจับกับฟอสฟอรัส อยู่ในรูปเกลือแคลเซียมฟอสเฟต โดยเป็นส่วนประกอบของกระดูก และฟัน ถึงร้อยละ 99 ส่วนอีกร้อยละ 1 อยู่ในเนื้อเยื่อ และในของเหลวของร่างกาย แคลเซียมเป็นสารที่จำเป็น สำหรับทารก และเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ช่วยสร้างเนื้อกระดูกให้มีความหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน <br />
ผู้ใหญ่ บางคน ไม่สามารถดื่มนมได้ เนื่องจากดื่มแล้ว เกิดปัญหาท้องเดิน หรือท้องอืด เพราะร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ จึงอาจปรับเปลี่ยน วิธีการดื่ม โดยให้ดื่มนมครั้งละน้อยๆ เช่น ? แก้ว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น หรือใช้วิธีดื่มนมหลังอาหาร หรือเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต ซึ่งช่วยลดปัญหาท้องเดิน หรือท้องอืดได้ <br />
ส่วนนมถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง ให้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มได้เป็นประจำเช่นกัน <br />
<br />
<strong><span style="background-color: #ead1dc;">เคล็ดลับเรื่องการนอนหลับ-พักผ่อน</span></strong> <br />
<br />
ร่างกายของคนเราทำงานเป็นเวลานานๆ มีความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ร่างกายจำเป็นต้องการพักผ่อน เพื่อการฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และสมอง ให้มีโอกาสในการพักผ่อน หลังการทำงานหนัก การพักผ่อน ทำได้ดังนี้ <br />
การพักผ่อน - อาจทำได้หลายอย่าง เช่น การปลูกต้นไม้ ทำการฝีมือ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เป็นต้น <br />
การนอนหลับ - เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนหลับอย่างน้อยวันละประมาณ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับทุกคน ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ในอัตราที่รวดเร็ว <br />
การนอนหลับที่ถูกต้อง คือ การนอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมาจะสดชื่น สมองแจ่มใส การนอนหลับสนิท 6 ชั่วโมง หรืออย่างมากที่สุด 8 ชั่วโมง ก็ถือว่าเพียงพอ <br />
<br />
<strong><span style="background-color: #ea9999;">การปฏิบัติตัวเพื่อการนอนหลับสนิท</span></strong> <br />
<br />
1. ก่อนนอนอาบน้ำให้ร่างกายสะอาด แต่งตัวด้วยชุดหลวมสบาย <br />
2. ทำจิตใจให้สงบ คิดเรื่องดีๆ ควรสวดมนต์ ไหว้พระตามศาสนาที่ตนนับถือ <br />
3. นอนในสถานที่อากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด และสงบ <br />
4. นอนหลับให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คืนละประมาณ 6-8 ชั่วโมง <br />
<br />
<span style="background-color: #b4a7d6;">เคล็ดลับเรื่องขับถ่าย-ท้องไม่ผูก</span><br />
<br />
อาการ ท้องผูกเป็นปากประตูร้ายของโรคต่างๆ ตั้งแต่ลำไส้ระคายเคือง ท้องอืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว กลิ่นตัวแรง สิวฝ้า ปากเหม็น มะเร็งลำไส้ ฯลฯ<br />
<span style="background-color: #76a5af;">วิธีการป้องกันการเกิดอาการท้องผูกด้วยวิธีธรรมชาติ</span> มีหลายวิธี เช่น <br />
1. กินอาหารที่มีเส้นใยให้มาก คนเราต้องการเส้นใยอาหารวันละ 25 กรัม อาหารที่พึ่งพิงได้มากที่สุดคือ ข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารสูง 1 ทัพพี มี 3.4 กรัม <br />
2. กินผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง สะเดา ขนุนอ่อน ใบบัวบก ผักบุ้ง กระถิน ดอกขจร ดอกโสน ผักหวาน ยอดมะยม ผักปลัง ยอดแค ดอกมะรุม ฯลฯ พึงจำไว้ว่า ผักพื้นบ้านมีใยอาหารมากกว่าผักสวนหรือผักจีน (เช่น คะน้า กวางตุ้ง) แถมปลอดสารเคมีมากกว่าด้วย <br />
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีเส้นใย เช่น ช็อกโกแลต เนยแข็ง เนื้อสัตว์ แป้งขัดขาว และลูกกวาด <br />
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ <br />
การนั่งกินนอนกินทั้งวันจะทำให้ท้องผูก จึงควรออกกำลังกายประมาณ 30 นาที/ครั้ง/วัน เช่น เดิน วิ่ง กายบริหาร ปั่นจักรยาน ฯลฯ เพื่อช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว คลายท้องผูกได้ <br />
นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้เส้นใยอาหารพองตัว และฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาด้วย <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6rc3m2IABrH3KeeyriqA5f-yYO38JE-WQu22Kq-LM23RiqEaCQeMwimexw8t0FHPxwtvnL8zbIc-ayVIPe3DAvazP_PRwJJxznqYBLARr3x7x2U0O3LESRdalRRwVAbLwjEk2j3_015U/s1600/89060.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" qaa="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6rc3m2IABrH3KeeyriqA5f-yYO38JE-WQu22Kq-LM23RiqEaCQeMwimexw8t0FHPxwtvnL8zbIc-ayVIPe3DAvazP_PRwJJxznqYBLARr3x7x2U0O3LESRdalRRwVAbLwjEk2j3_015U/s320/89060.jpg" width="320" /></a></div><br />
ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-2007873180302064662011-08-15T00:51:00.000-07:002011-08-15T00:54:41.852-07:00ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วง จัดกิจกรรม วันแม่แห่งชาติ<embed type="application/x-shockwave-flash" src="https://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="400" height="267" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=https%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2F107392187644892389266%2Falbumid%2F5640979684063982657%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed><br />
ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วง นำโดย ผอ.สุรพล อ่ำจำปา ผอ.กศน.อำเภอหนองม่วง พร้อม<br />
ด้วยคณะครู กศน.อำเภอหนองม่วง ได้จัดกิจกรรมวันแม่แห่งชาติ ขึ้นระหว่าง วันที่ 8 – 10 สิงหาคม 2554 เพื่อให้เด็กและเยาวชนในเขตอำเภอหนองม่วง ได้ทำกิจกรรมเพื่อให้เกิดความรักและความผูกพันระหว่างครอบครัว โดยได้จัดให้มีกิจกรรมต่างๆ เช่น ลงนามถวายพระพร การประดิษฐ์ดอกมะลิ เขียนเรียงความวันแม่ และประดิษฐ์การ์ดวันแม่ เป็นต้น มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวจำนวน 54 คน<br />
<br />
ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-59457503821463967892011-07-12T21:41:00.000-07:002011-07-12T21:41:27.608-07:00วันเข้าพรรษา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsrkMkTjG0enLx-zalaEr9wfaQU35RzHCorlnmYo9nZsI0Rvtur5ba3RKqTgRzwE1Ryyoy6mWW9ISufjID9-ucOlSUXBNa-aSrNpBzQ1O3r2EqbMAouVW83fubQ_1WILIT-UksaQoQFm0/s1600/Ordination.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsrkMkTjG0enLx-zalaEr9wfaQU35RzHCorlnmYo9nZsI0Rvtur5ba3RKqTgRzwE1Ryyoy6mWW9ISufjID9-ucOlSUXBNa-aSrNpBzQ1O3r2EqbMAouVW83fubQ_1WILIT-UksaQoQFm0/s320/Ordination.jpg" width="202" /></a></div><br />
<span style="background-color: #93c47d;">ความเป็นมาของการเข้าพรรษา</span> <br />
<br />
<br />
ในเรื่องความเป็นมาของการเข้าพรรษา ถ้าว่ากันตามประวัติย่อๆ คือ ในยุคต้นพุทธกาล ก็ยังไม่มีการเข้าพรรษา เพราะฉะนั้นตลอดทั้งปี เมื่อพระภิกษุมีความเห็นว่าท่านควรจะไปเทศน์ ไปสอนญาติโยมที่ไหนได้ ท่านพอมีเวลา ท่านก็จะไป หรือไม่ได้ไปเทศน์ไปสอนใคร ถ้าเห็นว่าที่ไหนมันเงียบ มันสงัดดี เหมาะในการที่จะไปบำเพ็ญภาวนา ทำสมาธิ(Meditation)ของท่าน ท่านก็จะไป ซึ่งแน่นอน ส่วนมากก็จะอยู่ในเขตที่เป็นป่าเป็นเขา ไกลๆออกไปจากตัวเมือง หรือว่าต้องผ่านไปในชนบทนั่นเอง<br />
จากการที่ท่านต้องไปอย่างนี้ เนื่องจากในฤดูฝนที่เขาทำไร่ทำนากันอยู่นั้น บางครั้ง ข้าวกล้าของเขาก็เพิ่งหว่านลงไปในนา มันเพิ่งงอกออกมาใหม่ๆ บางทีก็ดูเหมือนหญ้า พระภิกษุก็เดินผ่านไป นึกว่ามันเป็นดงหญ้า ก็เลยย่ำข้าวกล้าของเขาไป ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เขาก็มาฟ้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระไปย่ำข้าวของเขาที่ปลูกเอาไว้ หว่านเอาไว้ นกกาฤดูฝนมันยังอยู่กับรังของมัน พระทำไมไม่รู้จักพักบ้าง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAjnehDVYxuq7JJWip26lWvLitsQTqh0EQQEVDfWI0C8EL8zNnV0Hiu9D3ipj7tx9B9-HZMOX42ZdLjzpYnL0d6Lqcx4gpKxKE8KPf8SmBUtitsECqNs2iYFL_M-zQf3YHSKkkP6JiFhU/s1600/OrdinationED4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAjnehDVYxuq7JJWip26lWvLitsQTqh0EQQEVDfWI0C8EL8zNnV0Hiu9D3ipj7tx9B9-HZMOX42ZdLjzpYnL0d6Lqcx4gpKxKE8KPf8SmBUtitsECqNs2iYFL_M-zQf3YHSKkkP6JiFhU/s320/OrdinationED4.jpg" width="251" /></a></div><a name='more'></a><br />
<span style="background-color: #f6b26b;">วันเข้าพรรษาคือตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 11</span><br />
<br />
เพื่อตัดปัญหานี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงกำหนดให้พระภิกษุ เมื่อเข้าพรรษา หรือเมื่อเข้าฤดูฝน ให้พระอยู่กับที่ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 8 จนกระทั่งขึ้น 15ค่ำเดือน11 ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ไปทำภาวนาที่ไหน ไม่ไปเทศน์โปรดใคร ถ้าใครต้องการให้โปรด ก็มาที่วัดก็แล้วกัน มาหาท่าน ไม่ใช่ท่านไปหาเขา กำหนดเป็นอย่างนี้ไป เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ใครมาบ่นลูกของพระองค์ได้<br />
แต่อีกมุมมองหนึ่ง พระองค์ทรงถือโอกาสที่เกิดเป็นปัญหานี้ ได้ทรงเปลี่ยนคำครหาให้กลายเป็นโอกาสดีของพระภิกษุว่า ถ้าอย่างนั้นพระภิกษุอยู่เป็นที่ในวัดวาอาราม เพื่อที่จะให้พระใหม่ได้รับการอบรมจากพระเก่าได้เต็มที่ เพราะว่าจริงๆแล้ว ในการอบรมถ่ายทอดศีลธรรม ถ่ายทอดธรรมวินัยให้แก่กันและกันนั้น ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง ทำเป็นที่เป็นทางต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน อย่างนี้จะเป็นการดี การศึกษาธรรมะอย่างต่อเนื่องมีผลดี พระภิกษุต้องอยู่วัดช่วงเข้าพรรษา<br />
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็เลยทรงกำหนดขึ้นมาว่า ให้พระภิกษุอยู่กับที่ในช่วงเข้าพรรษาอยู่ในวัด แล้วพระใหม่ก็ศึกษาหรือรับการถ่ายทอดธรรมะจากพระเก่า ส่วนพระเก่าก็ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ด้วย คือ สอนพระใหม่<br />
เท่านั้นยังไม่พอ พระเก่าก็วางแผน กำหนดแผนการเลยว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ควรจะเดินทางไปโปรดที่ไหน นั่นก็อย่างหนึ่ง อีกทั้งปรับปรุงหลักสูตรวิธีการเทศน์การสอน การอบรมให้เหมาะกับท้องถิ่น ให้เหมาะกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เป็นต้น ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็ศึกษาธรรมะจากพระเก่า ส่วนพระเก่าก็ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์สอนพระใหม่<br />
ดังนี้ การเข้าพรรษาจึงเป็นการดีทั้งประชาชน ดีทั้งพระเก่า พระใหม่ ไปในตัวเสร็จ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div> <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXihyphenhyphen7F_cGghyphenhyphenziXEMHFNN53wxbmA-OaUESv5GfR-m1l-ylX8n1QgigRP2UtjqyPeKEPIuDKAcatKw3yNLna7AvfehyphenhyphenyfuUlko6jT0xJ_XkAZpV2P79hIol3hEfflgndBauDfMenvYlKQ/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXihyphenhyphen7F_cGghyphenhyphenziXEMHFNN53wxbmA-OaUESv5GfR-m1l-ylX8n1QgigRP2UtjqyPeKEPIuDKAcatKw3yNLna7AvfehyphenhyphenyfuUlko6jT0xJ_XkAZpV2P79hIol3hEfflgndBauDfMenvYlKQ/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25B2.jpg" width="320" /></a></div><br />
<span style="background-color: #9fc5e8;">กิจวัตรของพระภิกษุในฤดูเข้าพรรษา</span> <br />
<br />
ทีนี้กิจวัตรของพระภิกษุในฤดูเข้าพรรษา ว่าที่จริงก็ทำนองเดียวกันกับออกพรรษา เพียงแต่ว่าเมื่อไม่ได้ออกไปนอกพื้นที่ พระภิกษุจึงมีโอกาสดังต่อไปนี้<br />
ตัวท่านเองนั้น ก็มีโอกาสที่จะทำภาวนาของท่าน มีโอกาสที่จะปรับปรุงหลักสูตรของท่าน มีโอกาสที่จะค้นคว้าพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อันนี้ก็เป็นเรื่องราวในปัจจุบันนี้ กิจวัตรในปัจจุบันของพระ เราก็ทำอย่างนี้<br />
ในช่วงเข้าพรรษานี้พระภิกษาสงฆ์จะได้มีโอกาสหาความรู้จากพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป<br />
ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราไปตามวัดต่างๆ ในขณะนี้ ในฤดูเข้าพรรษานี้ เนื่องจากเราก็นิยมบวชกัน จะบวชชั่วคราวแค่พรรษาก็ตาม หรือจะบวชระยะยาวก็ตาม ในเมื่อพอเข้าพรรษาแล้ว พระเก่าพระใหม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน พระเก่าทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ ใครถนัดวิชาไหนก็มาสอนวิชานั้นให้แก่พระภิกษุใหม่ ใครถนัดพระวินัยก็สอนพระวินัย ใครถนัดสอนนักธรรมหรือธรรมะก็สอนธรรมะ ใครถนัดสอนพุทธประวัติก็สอนพุทธประวัติ เป็นต้น พูดง่ายๆ ฤดูเข้าพรรษาจึงกลายเป็นฤดูติวเข้ม หรือถ้าจะพูดกันอย่างในปัจจุบันก็บอกว่า ฤดูเข้าพรรษานี่แท้จริงก็เป็น Moral Camping ของพระภิกษุนั่นเอง กิจวัตรอื่นใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกไปโปรดญาติโยมก็พักเอาไว้ก่อน จึงเหลือแต่เรื่องของการศึกษาเป็นหลัก ค้นคว้าพระไตรปิฎกเป็นหลัก เนื่องจากมีเวลาที่จะค้นคว้า<br />
ฤดูกาลเข้าพรรษาเป็นฤดูกาลติวเข้มของพระภิกษุ เมื่อหมดจากเวลาการค้นคว้า ก็มานั่งสมาธิกันไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของการค้นคว้าภายใน พระไตรปิฎกในตัว พระไตรปิฎกนอกตัวก็มีอยู่เป็นเล่มๆ ค้นคว้าพระไตรปิฎกในตัวก็คือการทำภาวนานั่นเอง<br />
ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระใหม่มาอยู่ในวัดกันพร้อมหน้าพร้อมตา โยมพ่อโยมแม่ ญาติพี่น้อง พรรคพวกเพื่อนฝูงของพระใหม่ ได้มาร่วมทำบุญที่วัด ได้มาพบพระเพื่อน พบพระลูก พบพระหลาน ถึงแม้พระลูกพระหลานเหล่านี้ยังเทศน์ไม่เป็น เพราะบวชใหม่ แต่ว่าเมื่อมาแล้วก็จะได้พบพระครูบาอาจารย์ พระผู้ใหญ่ ท่านที่มาร่วมทำบุญเหล่านี้จึงมีโอกาสฟังเทศน์จากพระผู้ใหญ่ จึงกลายเป็นฤดูแห่งการศึกษาธรรมะไปด้วยในตัวเสร็จ ทั้งของพระ ทั้งของญาติโยม อันนี้ก็เป็นเรื่องราวของการเข้าพรรษาในยุคปัจจุบันนี้<br />
<br />
<span style="background-color: #ea9999;">การปฏิบัติตัวของชาวพุทธในช่วงเข้าพรรษา</span><br />
<br />
ในช่วงเข้าพรรษา พระเก่าพระใหม่ ท่านอยู่กันพร้อมหน้า เมื่ออยู่พร้อมหน้ากันอย่างนี้ ก็เป็นโชคดีของญาติโยม โชคดีอย่างไร โชคดีที่เนื้อนาบุญอยู่กันพร้อมหน้า ญาติโยมตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด ท่านไม่ปล่อยให้พระเข้าพรรษาเพียงลำพัง ญาติโยมก็พลอยเข้าพรรษาไปด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเข้าพรรษาของญาติโยมนั้น เข้าพรรษาด้วยการอธิษฐานจิต<br />
หลักธรรมในพระพุทธศาสนา มีแม่บทไว้ชัดอยู่ 3ข้อ คือ<br />
1.ละ ชั่ว<br />
2.ทำดี<br />
3.กลั่นใจให้ใส<br />
เมื่อพระอยู่จำพรรษา ท่านก็มีหน้าที่ของท่านว่า ละชั่ว คำ ว่า ละชั่วของพระนั้น ไม่ใช่ ชั่ว หยาบๆอย่าง ที่มนุษย์เป็นกัน แต่ว่าละชั่วของท่านในที่นี้หมายถึงละกิเลส ซึ่งแม้ในเรื่องนั้นโดยทางโลกแล้ว มองไม่ออกหรอกว่ามันเป็นความชั่ว ความไม่ดี เช่น มีจิตใจฟุ้งซ่าน ความจริงก็อยู่ในใจของท่าน คนอื่นมองไม่เห็น ถึงขนาดนั้น ท่านก็พยายามจะละความฟุ้งซ่านของท่านให้ได้ ด้วยการเจริญภาวนา หรือทำสมาธิให้ยิ่งๆขึ้นไป เป็นต้น ท่านก็ละกิเลสหรือละชั่วที่ละเอียดๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้สมกับภูมิแห่งความเป็นพระของท่าน<br />
ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็ตั้งใจศึกษาหาความรู้ให้เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป ความดีท่านก็ทำให้ยิ่งๆ ขึ้น ตัวอย่างเช่น อยู่ที่วัดพระเก่าก็เทศน์อบรมให้พระใหม่ พระใหม่ก็ตั้งใจศึกษาให้เป็นความรู้ความดี เพิ่มพูนความดีให้กับตัวของท่านไป แล้วก็ทำใจให้ใส พร้อมๆ กัน ด้วยการสวดมนต์ภาวนา แต่เช้ามืด ท่านตื่นกันขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ ตื่นขึ้นมาสวดมนต์กันแต่เช้า เป็นต้น<br />
สำหรับญาติโยมทั้งหลาย แต่โบราณ พอวันเข้าพรรษาก็อธิษฐานพรรษากันเหมือนกัน อธิษฐานอย่างไร อธิษฐานอย่างนี้ พรรษานี้ สามเดือนนี้ ที่รู้ว่าอะไรเป็นนิสัยที่ไม่ดีในตัวเองที่มีอยู่ ก็อธิษฐานเลย พรรษนี้ (เลือกมาอย่างน้อยหนึ่งข้อ) เราจะแก้ไขตัวเองให้ได้ เช่น บางคนเคยกินเหล้า เข้าพรรษาแล้วก็อธิษฐานว่า พรรษนี้เลิกเหล้า เลิกเหล้าให้เด็ดขาด บางคนเคยสูบบุหรี่ ก็อธิษฐานว่า อย่างน้อยพรรษานี้จะเลิกบุหรี่ให้เด็ดขาด เป็นต้น เขาก็มีการอธิษฐานกันในวันเข้าพรรษา พรรษานี้จะละความไม่ดีอะไรบ้าง ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ให้พยายามละกัน คือ ทำตามพระให้เต็มที่นั่นเองในระดับของประชาชน<br />
สิ่งใดที่เป็นความดี ก็พยายามที่จะทำให้ยิ่งๆขึ้นไป เช่น เมื่อก่อนนี้ ก่อนจะเข้าพรรษา ตักบาตรบ้าง ไม่ตักบาตรบ้าง วันไหนมีโอกาสก็ทำ วันไหนชักจะขี้เกียจก็ไม่ทำ เมื่อพรรษานี้ พระอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาดีแล้ว ตั้งใจเลยที่จะตักบาตรให้ได้ทุกเช้า เมื่อก่อนไม่ทุกเช้า แค่วันเสาร์ วันอาทิตย์หรือวันโกนวันพระ พรรษานี้พระอยู่พร้อมหน้า อธิษฐานเลย จะตักบาตรทุกเช้าตลอดสามเดือนนี้ที่เข้าพรรษา นี่ก็เป็นธรรมเนียมที่ปู่ย่าตาทวดทำกัน รักษาศีลในช่วงเข้าพรรษาจากศีลห้าก็ยกขึ้นไปเป็นศีลแปด บางท่านยิ่งกว่านั้น ธรรมดาเคยถือศีลห้าเป็นปกติอยู่แล้ว พรรษานี้เลยถือศีลแปดทุกวันพระไปเลย แถมจากศีลห้ายกขึ้นไปเป็นศีลแปด บางท่านเคยถือศีลแปดทุกวันพระ ถืออุโบสถศีลมาทุกวันพระแล้ว เมื่อพรรษาที่แล้ว พรรษานี้ถือศีลแปด ถืออุโบสถศีล ทั้งวันโกนวันพระ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละสองวัน บางท่านเก่งกว่านั้นขึ้นไปอีก พรรษานี้จะรักษาศีลแปด รักษาอุโบสถศีล กันตลอดสามเดือนเลย ใครมีกุศลจิตศรัทธามากเพียงไหน ก็ทำให้ยิ่งๆขึ้นไปตามนั้น บางท่านยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก ถึงกับอธิษฐานว่า พรรษานี้นอกจากถือศีลกันตลอด ถือศีลแปดกันตลอดพรรษาแล้วยังไม่พอ อธิษฐานที่จะทำสมาธิทุกวัน ทุกคืนก่อนนอนวันละหนึ่งชั่วโมง ใครที่ไม่เคยทำก็อธิษฐานจะทำสมาธิวันละหนึ่งชั่วโมง คืนละหนึ่งชั่วโมง บางท่านเพิ่มเป็นคืนละสองชั่วโมง สามชั่วโมง ก็ว่ากันไปตามกุศลศรัทธาอย่างนี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดของเราทำกันมา อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากก็คือ เนื่องจากปัจจุบันนี้สังคมเปลี่ยนไป ญาติโยมประชาชนส่วนมากหยุดงานกันวันเสาร์ วันอาทิตย์ แต่พระนั้น แต่เดิมก็เทศน์กันวันโกนวันพระเป็นหลัก เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงเหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่เท่านั้น ที่ไปฟังเทศน์ในวันโกนวันพระ แต่เข้าพรรษานี้ ขอฝากหลวงพ่อ หลวงพี่ ด้วยก็แล้วกัน ถ้าจะเพิ่มวันเทศน์วันสอนธรรมะให้กับประชาชนในวันเสาร์-วันอาทิตย์ ซึ่งญาติโยมเขาหยุดงานกันอีกสักวันสองวันก็จะเป็นการดี แล้วก็ญาติโยมด้วยนะ รู้ว่าพระเทศน์วันโกนวันพระ แล้วครั้งนี้เข้าพรรษา ท่านแถมวันเสาร์-วันอาทิตย์ให้ด้วย อย่าลืมไปฟังท่านเทศน์ด้วยนะ ถ้าขยันกันอย่างนี้ มีแต่บุญกุศลกันตลอดทั้งพรรษาเลย แล้วความเจริญรุ่งเรืองทั้งตัวเอง ทั้งพระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ก็จะบังเกิดขึ้นตลอดปี ตลอดไป บวชเข้าพรรษาหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของลูกผู้ชาย<br />
<br />
<span style="background-color: #9fc5e8;">ประเพณีการบวชช่วงเข้าพรรษา </span><br />
<br />
ความจริงแล้ว พระในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะบวชในฤดูกาลไหน หรือจะบวชช่วงสั้น ช่วงยาวแค่ไหนก็ตาม มีวัตถุประสงค์ในการบวชเหมือนกัน คือ มุ่งที่จะกำจัดทุกข์ให้หมดไป แล้วก็ทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือ พูดกันภาษาชาวบ้านว่า มุ่งกำจัดกิเลสเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน จะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีก ทีนี้อย่างไรก็ตาม เมื่อบวชแล้ว ไม่ว่าบวชช่วงสั้นช่วงยาว ตั้งใจอย่างนี้ ทำตามวัตถุประสงค์ของการบวชอย่างนี้เต็มที่ ไม่ว่าบวชช่วงไหนก็ได้บุญเท่าๆ กันทั้งนั้น อันนี้โดยหลักการ<br />
แต่ว่าเอาจริงๆ เข้าแล้ว เนื่องจากเรานั้น ยังเป็นคนที่เข้ามาสู่ศาสนากันใหม่ๆ แล้วก็ยังต้องการสภาพที่เหมาะสมพิเศษๆ ในการที่จะศึกษาธรรมะ ในการที่จะขัดเกลาตัวเอง ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าได้บรรยากาศพิเศษๆขึ้นมา ก็จะช่วยให้การบรรลุวัตถุประสงค์ของการบวชนั้นง่ายขึ้นและดีขึ้น ปู่ย่าตาทวดของเราจึงได้เลือกแล้วว่า ฤดูเข้าพรรษาเป็นบรรยากาศพิเศษ เหมาะที่จะให้ลูกหลานของตัวเองจะเข้ามาบวช พิเศษอย่างไรในฤดูนี้<br />
ประการที่ 1. ดินฟ้าอากาศเป็นใจ คือ ในฤดูร้อนของประเทศไทย เรารู้ๆ กันอยู่ว่า ถึงคราวร้อนก็ร้อนเหลือหลาย ร้อนจนกระทั่งแม้ในทางโลก เด็กนักเรียนก็ปิดเทอมกันภาคฤดูร้อน ฤดูร้อนเรียนกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อากาศมันร้อนหนัก เพราะฉะนั้นโรงเรียนก็ปิดเรียน ในทางธรรมก็เช่นกัน ถ้าจะให้พระใหม่มาเรียนธรรมะในฤดูร้อนคงย่ำแย่<br />
ในฤดูหนาวก็เช่นกัน สมัยเราเป็นเด็ก ไปโรงเรียนกันในฤดูหนาว เป็นเด็กนักเรียนก็ไปนั่งผิงไฟกันด้วยซ้ำ ไปนั่งงอก่องอขิงกัน บรรยากาศในการเรียนมันหย่อนๆ ไปเหมือนกัน ร้อนไปก็ไม่ดี หนาวไปก็ไม่ดี ฤดูที่ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป เห็นมีอยู่ฤดูเดียวสำหรับประเทศไทย คือ ฤดูฝน หรือฤดูเข้าพรรษานั่นเอง เพราะฉะนั้นช่วงเข้าพรรษา ดินฟ้าอากาศมันพร้อม มันดีพร้อม มันเป็นใจ เหมาะแก่การศึกษาธรรมะ การค้นคว้าธรรมะ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ครูบาอาจารย์จะพร้อมหน้าพร้อมตามากที่สุดในฤดูเข้าพรรษานี้<br />
ประการที่ 2. ครูก็พร้อม เพราะว่าพระภิกษุที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านถูกพระวินัยกำหนดแล้วว่า ห้ามไปไหน ต้องพักค้างอยู่ในวัดตลอดพรรษา ดังนั้น ครูบาอาจารย์จึงพร้อมหน้าพร้อมตามากที่สุดในฤดูเข้าพรรษานี้ เพราะฉะนั้นถ้าใครมาเป็นลูกศิษย์ ก็จะได้พบหน้าพระที่เป็นครูบาอาจารย์ทุกองค์เลย โอกาสจะได้รับการถ่ายทอดธรรมะจึงเต็มที่มากกว่าฤดูอื่น<br />
ประการที่ 3. เราถือเป็นค่านิยมกันแล้วว่า พระใหม่ควรจะบวชในฤดูเข้าพรรษา เพราะฉะนั้น ต้องถือว่าฤดูนี้ ดินฟ้าอากาศเป็นใจ ครูบาอาจารย์ คือ พระเก่าก็พร้อม ลูกศิษย์ คือ พระใหม่ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันมาบวชในฤดูนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ความคึกคักในการเรียนมันก็มี<br />
ยิ่งไปกว่านั้น ความพร้อมประการที่ 4. ในส่วนของญาติโยม เมื่อลูกหลานมาบวช ญาติโยมก็เกิดความคึกคักเหมือนกันที่จะมาฟังเทศน์ด้วย เพราะว่ามาด้วยความห่วงพระลูกพระหลานของตัวเอง อีกทั้งยังนำข้าวปลาอาหารมาทำบุญ มาเลี้ยงพระลูกพระหลาน แล้วก็เลยเลี้ยงกันไปทั้งวัดอีกด้วย ยังไม่พอมาเลี้ยงพระลูกพระหลานเสร็จแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องไปกราบพระที่เป็นครูบาอาจารย์ เมื่อเป็นอย่างนี้ความคุ้นเคยระหว่างพระกับโยมในช่วงเข้าพรรษาก็มีมากขึ้น ญาติโยมจึงมีโอกาสจะได้ฟังเทศน์ฟังธรรมพร้อมๆกันไปด้วย พระลูกพระหลานก็เข้าห้องเรียนไปห้องหนึ่ง โยมพ่อโยมแม่ก็เข้าฟังเทศน์ในศาลาอีกศาลาหนึ่ง รวมทั้งข้าวปลาอาหารก็มีพร้อมมูลอย่างนี้ บรรยากาศแห่งความสมบูรณ์ในการประพฤติปฏิบัติธรรมมาพร้อมกันถึง 4 ประการอย่างนี้ ฤดูเข้าพรรษาจึงนับว่าเป็นฤดูที่เหมาะสมต่อการเข้ามาบวชอย่างยิ่ง<br />
จึงเป็นธรรมเนียมกันมาทุกวันนี้ว่า บวชตอนเข้าพรรษานั้นน่าบวชที่สุด เพราะว่ามีโอกาสได้บุญมากที่สุด ทั้งพระผู้บวช คือ ได้ศึกษาเต็มที่ มีโอกาสที่จะโปรดโยมพ่อโยมแม่มากที่สุด เพราะถึงแม้ตัวเองเป็นพระใหม่ยังเทศน์ไม่ได้ แต่พระอาจารย์ในวัดก็ช่วยเทศน์ให้ ทุกอย่างมันสมบูรณ์พูนสุขจริงๆ บวชเข้าพรรษาจึงมีทีท่าว่าได้บุญมากกว่าฤดูอื่น ด้วยประการฉะนี้ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-84690236033834640192011-07-12T21:14:00.000-07:002011-07-12T21:42:57.996-07:00วันอาสาฬหบูชา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlhzgaV1qQdP4AbUZLJvL2Yo8FOp-NNvky_Afz6_OtDfcDl-xztmXHOlKFTVVuLB7njX5EndkAZpMAXLBBT46lePxBTr3DxYwnbunq4dos_bhKWYzNwJFQor3CIFjRzl5R3eGmRozSl5Q/s1600/buddha_2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" m$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlhzgaV1qQdP4AbUZLJvL2Yo8FOp-NNvky_Afz6_OtDfcDl-xztmXHOlKFTVVuLB7njX5EndkAZpMAXLBBT46lePxBTr3DxYwnbunq4dos_bhKWYzNwJFQor3CIFjRzl5R3eGmRozSl5Q/s320/buddha_2.jpg" width="237" /></a></div><br />
ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2554 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 15 กรกฎาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม <br />
ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ <span style="color: #6fa8dc;">อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา</span> ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 <br />
วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี<br />
<a name='more'></a><br />
ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ <br />
<br />
<span style="background-color: #ead1dc;">สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ</span> <br />
<br />
<span style="color: #93c47d;">1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้</span> <br />
บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ<br />
การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค <br />
ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่ <br />
1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง <br />
2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม <br />
3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต <br />
4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต <br />
5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต <br />
6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี <br />
7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด <br />
8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน <br />
<span style="color: #93c47d;">2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่</span> <br />
1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด <br />
2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ <br />
3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา <br />
4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น <br />
<span style="background-color: #ea9999;">กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา</span> <br />
พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-42632461502967920112011-05-31T00:43:00.000-07:002011-05-31T01:06:07.722-07:00เลือกตั้ง ส.ส. กลไกสำคัญสู่วิถีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwc5eq1bgek_RhvoERbguq4piFoh2ZZ_D1YddH7R8bx4JPs4vTvy83Tj4-C0BDpN_8HOXIjxW5YFfP5H2MyiX9aktWZaP2uq_046nnNA31svqBD80Z4Y3Hcya1nr7_19akHx8qGz2ePBQ/s1600/ballot_box.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwc5eq1bgek_RhvoERbguq4piFoh2ZZ_D1YddH7R8bx4JPs4vTvy83Tj4-C0BDpN_8HOXIjxW5YFfP5H2MyiX9aktWZaP2uq_046nnNA31svqBD80Z4Y3Hcya1nr7_19akHx8qGz2ePBQ/s1600/ballot_box.jpg" t8="true" /></a></div> <span style="font-size: large;">ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คำว่า <span style="background-color: #8e7cc3;">“ประชาธิปไตย”</span> แปลว่า “ประชาชนเป็นใหญ่” คือการที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยหรือมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ แต่ประชาชนทั้ง 64 ล้านคน จะเข้าไปปกครองบริหารประเทศทั้งหมดด้วยตนเองย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมอบ อำนาจอธิปไตยให้แก่ตัวแทนที่ตนเลือกเพื่อให้ไปทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติและ ด้านการบริหารแทนประชาชน ดังนั้นจึงมีการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ทำหน้าที่แทนประชาชน </span><br />
<span style="font-size: large;"> การเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งนี้อยู่ในช่วงเวลาที่ประชาชนบางกลุ่มมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งพร้อมใจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ย่อมหมายถึงประชาชนส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจเลือกแล้วและได้แสดงเจตนารมณ์ อย่างแรงกล้าที่ต้องการให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดหรือพรรคการเมืองใด เข้าไปแก้ไขปัญหาและระงับความขัดแย้งต่างๆ ให้หมดไปจากประเทศไทย </span><br />
<span style="font-size: large;"> ดังนั้น การตัดสินใจเลือกใคร พรรคการเมืองใด หรือแม้แต่การตัดสินใจไม่เลือกใครหรือพรรคการเมืองใดเลย จึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่จะต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งอย่างมีเหตุผล โดยเลือก<span style="background-color: #8e7cc3;"> <span style="color: #20124d;">“คนดี มีความสามารถ ซื่อสัตย์ สุจริต เห็นประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน”</span></span> ให้เข้าไปบริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของพวกเราทุกคน </span><br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT-EMM20lEwv3098_ZS57U6pwwftSvtyVI5A_9uVnUcBS8w_Kl_PmobkNmlXyTCOwmPA29Ykv2TAIeOIrkWDcYbLbL2D6y_UcR-O8q83P6eneO_Oy03EC6RPMkOOpaZ-ph0H3a0fBS_lY/s1600/49384_1.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT-EMM20lEwv3098_ZS57U6pwwftSvtyVI5A_9uVnUcBS8w_Kl_PmobkNmlXyTCOwmPA29Ykv2TAIeOIrkWDcYbLbL2D6y_UcR-O8q83P6eneO_Oy03EC6RPMkOOpaZ-ph0H3a0fBS_lY/s1600/49384_1.gif" t8="true" /></a></div>ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-10303097740887505382011-05-31T00:29:00.000-07:002011-05-31T00:29:38.079-07:00การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร 2554<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhH55cuXHeWTZhn12TZYYNr76q_2Y1qTC9yXucCjxwEPdkXEnlPOVckOMtV0cvmdSxUUCWsyvBcyDXRgGPUhJomg9Cfac4qMyCJQF8VnwBrjQqKY5hupMA0iwFZvx_wJOT_axMGGksOQQA/s1600/poster17.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhH55cuXHeWTZhn12TZYYNr76q_2Y1qTC9yXucCjxwEPdkXEnlPOVckOMtV0cvmdSxUUCWsyvBcyDXRgGPUhJomg9Cfac4qMyCJQF8VnwBrjQqKY5hupMA0iwFZvx_wJOT_axMGGksOQQA/s640/poster17.jpg" t8="true" width="472" /></a></div>ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3892706097213064489.post-34343968818113730752011-05-10T01:24:00.000-07:002011-05-10T01:28:19.912-07:00วันวิสาขบูชา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUasyZr2KJymntFWNfOIZLZ4NxNAgeO_V2X0fhBwnuFYVhadMHzpwQZyzUfFSD-E1l_6UBjnRgO3TqG1d4oSbFRjLwW2mnU7FJZYkmUm_qvq9IdiZAJQdtSNAUMCgkAcdsLAGuG3bDv_0/s1600/day12%255B1%255D.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" j8="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUasyZr2KJymntFWNfOIZLZ4NxNAgeO_V2X0fhBwnuFYVhadMHzpwQZyzUfFSD-E1l_6UBjnRgO3TqG1d4oSbFRjLwW2mnU7FJZYkmUm_qvq9IdiZAJQdtSNAUMCgkAcdsLAGuG3bDv_0/s1600/day12%255B1%255D.png" /></a></div> <br />
<br />
<span style="color: #e06666;"> วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่ </span><br />
<br />
<span style="color: #ea9999;"> </span><span style="color: #a64d79;"> สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะพระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย</span><br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiGQN2hs22O_LpeMMq6NjJtYMhfCPaJEsAYYsO5L-D5OwFOpAnggfW8PnRNgZ9i5AiQpRnf9qsNOzqUfSmVOVJRVBhhyphenhyphencJtw34Us3nKp7RFrH4ah9mSZV_IeuwhDYVIKvtwaLjdlLuplk/s1600/day13%255B1%255D.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" j8="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiGQN2hs22O_LpeMMq6NjJtYMhfCPaJEsAYYsO5L-D5OwFOpAnggfW8PnRNgZ9i5AiQpRnf9qsNOzqUfSmVOVJRVBhhyphenhyphencJtw34Us3nKp7RFrH4ah9mSZV_IeuwhDYVIKvtwaLjdlLuplk/s1600/day13%255B1%255D.png" /></a></div><a name='more'></a><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><span style="color: black;"> </span><span style="color: #0b5394;">ในหนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า " เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป "</span><br />
<span style="color: #38761d;">ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน </span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpl1LLlViAMD0HnBFMLUU3JlrK09UXt1cfR8hfzvbNl2E_7XMQj0Nov9QcjzgDZyaoTrNLqmzI1iW4ElETLOCwTplwmoj3JQE7N8i_Wg_NVHXdx4_osHKvcWwzOXiL977hja_RbH1J8AU/s1600/day14%255B1%255D.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" j8="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpl1LLlViAMD0HnBFMLUU3JlrK09UXt1cfR8hfzvbNl2E_7XMQj0Nov9QcjzgDZyaoTrNLqmzI1iW4ElETLOCwTplwmoj3JQE7N8i_Wg_NVHXdx4_osHKvcWwzOXiL977hja_RbH1J8AU/s1600/day14%255B1%255D.png" /></a></div><span style="color: #38761d;"> </span><span style="color: #674ea7;">ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุคทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.2500 ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 18 พฤษภาคม รวม 7 วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล 5 หรือศีล 8 ตามศรัทธาตลอดเวลา 7 วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม 2,500 รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 พฤษภาคม รวม 3 วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ 2,500 รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ 200,000 คน เป็นเวลา 3 วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย</span>ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองม่วงhttp://www.blogger.com/profile/00427347525845177919noreply@blogger.com0